วิธีลงทุนหุ้น 2024– คู่มือสำหรับนักลงทุนมือใหม่
คุณเป็นอีกคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยและกำลังมองหาคำแนะนำสำหรับวิธีการซื้อหุ้นเป็นครั้งแรกใช่หรือไม่?
ในคู่มือสำหรับนักลงทุนมือใหม่นี้ เราจะให้คำแนะนำทั้งหมดที่คุณต้องทราบเกี่ยวกับวิธีลงทุนหุ้นในไทย โดยเราจะพูดถึงวิธีการเลือกโบรกเกอร์สำหรับการซื้อขายหุ้นที่ได้รับอนุญาตและมีการควบคุมค่าธรรมเนียมที่เป็นธรรม รวมถึงวิธีการวางคำสั่งซื้อหุ้นในครั้งแรกของคุณและให้คำแนะนำในการเลือกหุ้นที่เหมาะสมกับคุณ
วิธีลงทุนหุ้น
- เลือกโบรกเกอร์ – ที่ Libertex คุณสามารถเทรดหุ้นได้โดยไม่มีค่าคอมมิชชั่น
- เปิดบัญชี
- ฝากเงินเข้าบัญชี
- เลือกหุ้นที่คุณต้องการ
- Libertex นำเสนอการซื้อหุ้นหรือลงทุนในหุ้นผ่าน CFD ที่คุณสามารถทำการซื้อหรือขายได้ด้วยตนเอง และยังใช้เลเวอเรจในการเทรดได้ด้วย
70.8% ของบัญชีนักเทรดรายย่อยสูญเสียเงินเมื่อทำการเทรด CFDs กับทางแพลตฟอร์มนี้
ขั้นตอนวิธีลงทุนหุ้น – เลือกโบรกเกอร์ที่ใช่สำหรับคุณ
ก่อนที่คุณจะทำการซื้อหุ้น คุณต้องเลือกโบรกเกอร์หุ้นชั้นนำสำหรับการลงทุนในหุ้นเสียก่อน เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เราได้แสดงรายชื่อโบรกเกอร์ที่ดีที่สุดในไทยไว้ด้านล่าง พร้อมรายละเอียดค่าธรรมเนียมและคุณสมบัติทั้งหมด คุณยังสามารถป้อนจำนวนเงินที่คุณวางแผนจะลงทุนและจำนวนครั้งในการซื้อขายเพื่อคำนวณว่าแต่ละโบรกเกอร์จะมีค่าใช้จ่ายเท่าใดสำหรับการลงทุนนั้น ๆ !
คำแนะนำในแต่ละขั้นตอนสำหรับปี 2024
คำแนะนำในแต่ละขั้นตอนเกี่ยวกับวิธีการซื้อหุ้นนี้อ้างอิงจาก Libertex ซึ่งเป็นโบรกเกอร์ในการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ได้รับการแนะนำและได้รับการควบคุม โดยกระบวนการนี้อาจจะคล้ายกับโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ และหากคุณพอใจกับข้อมูลทั้งหมดในหน้านี้คุณสามารถลงทะเบียนใช้งานได้โดยใช้แบบฟอร์มด้านล่าง
1. เปิดบัญชีกับ Libertex ในวันนี้
ในการสร้างบัญชี Libertex จะมีการขอให้คุณป้อนข้อมูลส่วนบุคคลของคุณเช่น:
- ชื่อเต็ม
- ที่อยู่
- วันเกิด
- รายละเอียดการติดต่อ
คุณจะต้องเลือกชื่อผู้ใช้งานและรหัสผ่านที่คาดเดาได้ยาก
2. อัปโหลด ID
คุณสามารถฝากเงินไปยัง Libertex ได้มากถึง $ 2,000 โดยที่ไม่ต้องอัปโหลด ID แต่หากคุณต้องการฝากเงินเพิ่มคุณจะต้องมีการยืนยันบัญชีของคุณ เนื่องจาก Libertex อยู่ภายใต้การควบคุมของ Financial Conduct Authority
คุณต้องอัปโหลดสำเนาหนังสือเดินทาง หรือบัตรประจำตัวประชาชน/ ใบขับขี่และหลักฐานที่อยู่ ซึ่งอาจเป็นใบแจ้งยอดบัญชีธนาคารล่าสุดหรือใบเรียกเก็บเงินค่าสาธารณูปโภค โดยในทันทีที่คุณอัปโหลดเอกสาร ทาง Toro จะตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารให้คุณภายในเวลาไม่กี่นาที
3. ฝากเงิน
ที่ Libertex คุณจะต้องมียอดฝากขั้นต่ำ 100 เหรียญสหรัฐ โดยวิธีการชำระเงินที่รองรับได้แก่ บัตรเดบิต/เครดิต การโอนเงินผ่านธนาคารและ e-wallets เช่น PayPal, Neteller และ Skrill
ดังที่เราได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าเงินฝากที่ Libertex ทั้งหมดจะถูกแปลงเป็นดอลลาร์สหรัฐ โดยมีค่าธรรมเนียม 0.5% และจากนั้นคุณจะสามารถเข้าถึงตลาดการเงินกว่าสิบแห่งได้ทันทีทั้งในไทยและต่างประเทศ
4. ซื้อหุ้น
เมื่อบัญชี Libertex ของคุณมีเงินทุนในบัญชีแล้วคุณก็สามารถซื้อหุ้นแรกของคุณได้ทันที ซึ่งในตัวอย่างของเรา เราต้องการซื้อหุ้น BP ด้วยเหตุนี้เราจึงป้อน “BP” ลงในช่องค้นหาที่ด้านบนสุดของหน้าจอจากนั้นคลิกที่ “TRADE” แต่หากคุณยังไม่ตัดสินใจว่าจะซื้อหุ้นใดให้คลิกที่ปุ่ม “TRADE MARKETS” และเรียกดูคลังหุ้นของ Libertex
ก่อนที่เราจะสามารถซื้อหุ้นในบริษัทที่เราเลือกได้ เราต้องตั้งค่า “buy order” ดังที่คุณเห็นจากภาพหน้าจอด้านล่าง ซึ่งราคาปัจจุบันของ BP ในตลาดคือ 305.60p ซึ่งราคานี้จะเปลี่ยนแปลงไปในวินาทีต่อวินาที อย่างไรก็การป้อนจำนวนเงินที่เราต้องการลงทุนต้องอยู่ในรูปแบบสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เช่นตัวอย่างของเราที่กำลังมีการซื้อหุ้น BP มูลค่า 500 เหรียญ
หมายเหตุ – เรากำลังซื้อสินทรัพย์อ้างอิงซึ่งต่างจากการใช้เลเวอเรจและซื้อขายหุ้นเช่น cfd
70.8% ของบัญชีนักเทรดรายย่อยสูญเสียเงินเมื่อทำการเทรด CFDs กับทางแพลตฟอร์มนี้
เรียนรู้วิธีลงทุนหุ้นขั้นพื้นฐาน
ในขั้นตอนของการดำเนินการลงทุนให้เสร็จสมบูรณ์เราต้องคลิกที่ “OPEN TRADE” และภายในไม่กี่วินาทีต่อมาคำสั่งซื้อของเราก็จะถูกดำเนินการทันที นั่นหมายความว่าเราเพิ่งซื้อหุ้น BP ไปโดยที่ไม่มีค่าคอมมิชชั่น เพียงแค่สี่ขั้นตอนง่ายๆแค่นี้คุณก็จะสามารถเรียนรู้วิธีการลงทุนหุ้นในประเทศไทยแล้ว!
ด้วยตัวเลือกที่หลากหลายของการซื้อขายหุ้นในไทยในปัจจุบัน ทำให้คุณสามารถซื้อขายหุ้นทั่วโลกได้หลายพันรายการแค่กดคลิกปุ่มเพียงแค่ครั้งเดียว สิ่งที่คุณต้องมีก็เพียงโบรกเกอร์ซื้อขายหลักทรัพย์ออนไลน์ที่เชื่อถือได้
ในขณะนี้มีโบรกเกอร์ซื้อขายหุ้นในไทยหลายร้อยรายที่แข่งขันกันกันในธุรกิจนี้ นำมาซึ่งการแข่งขันในด้านค่าธรรมเนียมและค่าคอมมิชชั่นที่ไม่เคยมีการแข่งขันสูงขนาดนี้มาก่อน และยังมีแพลตฟอร์มการซื้อขายหุ้นในไทยบางแห่งที่ช่วยให้คุณสามารถซื้อหุ้นได้โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการซื้อขายใด ๆ อีกด้วย
อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเรียนรู้เกี่ยวกับวิธีการซื้อหุ้นในไทยก็คือการเรียนรู้พื้นฐานที่เกี่ยวกับวิธีการทำงานของหุ้น, เส้นทางการลงทุนและกฎทางภาษาเมื่อเทียบกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่จะได้รับ กาทำความเข้าใจในปัจจัยขั้นพื้นฐานต่าง ๆ จะช่วยให้คุณสามารถลดข้อผิดพลาดที่มีค่าใช้จ่ายที่สูงได้ แบ่งปันเคล็ดลับยอดนิยม: เมื่อคุณซื้อหุ้นในบริษัทนั้น ๆ แล้วพวกเขาจะต้องส่งใบหุ้นให้คุณภายในสองเดือน
หุ้นคืออะไร?
เมื่อบริษัทตัดสินใจเข้าสู่ ‘สาธารณะ’ หมายความว่าบริษัทจะต้องเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในทางกลับกันสิ่งนี้จะช่วยให้นักลงทุนรายวันสามารถซื้อหุ้นในบริษัทนั้นได้ ซึ่งคุณจะเป็นเจ้าของหุ้นของบริษัทที่คุณลงทุนตามสัดส่วนของจำนวนหุ้นที่คุณถือครอง
มูลค่าของหุ้นจะถูกกำหนดโดยกลไกตลาดกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากมีผู้ซื้อมากกว่าผู้ขายราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นเมื่อเป็นเช่นนั้นมูลค่าการลงทุนของคุณจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
หากมีผู้ขายมากกว่าผู้ซื้อก็จะมีผลในทางตรงกันข้ามนั่นหมายความว่า มูลค่าหุ้นของคุณจะลดลง แต่ในฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัทเองคุณจะยังได้รับสิทธิประโยชน์อื่น ๆ มากมาย
การขายหุ้น
ผู้ลงทุนนั้นมีสิทธิในการรับเงินปันผลและมีความสามารถในการลงคะแนนเสียงในการประชุมสามัญประจำปี (AGMs) นอกจากนี้คุณสามารถขายหุ้นได้ตลอดเวลาในช่วงเวลาทำการของตลาด ปกติแล้วเงินที่คุณได้รับคืนจะเป็นเงินสดจะ ขึ้นอยู่กับจำนวนหุ้นที่คุณถือเทียบกับราคาหุ้นปัจจุบันของบริษัท เราขอแนะนำให้คุณบุ๊กมาร์กหน้าคำศัพท์เกี่ยวกับหุ้นของเราในขณะที่คุณทำการซื้อหุ้นครั้งแรก
คุณสามารถสร้างเงินได้เท่าไหร่จากการลงทุนในหุ้น?
หากคุณต้องการทราบว่าตอนนี้คุณมีความสามารถในการสร้างรายได้จากการซื้อขายหุ้นได้มากน้อยเพียงใด ลองใช้เครื่องมือคำนวณการลงทุนของเรา โปรดจำไว้ว่าหุ้นในอดีตมักจะให้ผลตอบแทน 6% -7% ต่อปี
วิธีการสร้างรายได้จากหุ้น:
ซึ่งสามารถทำได้ในสามวิธี ได้แก่ กำไรจากส่วนต่างราคา, เงินปันผลและการเติบโตของพอร์ตแบบทบต้น
1. กำไรจากส่วนต่างราคา
หากมูลค่าหุ้นของคุณสูงกว่าราคาที่คุณจ่ายในตอนแรกจะเรียกว่า “กำไรจากส่วนต่างราคา”
ตัวอย่างเช่น:
- สมมติว่าคุณซื้อหุ้น 1,000 หุ้นใน BP ที่ 350p ต่อหุ้น
- ซึ่งหมายความว่าเงินลงทุนทั้งหมดของคุณที่ใช้จะอยู่ที่ 3,500 ปอนด์
- ห้าปีต่อมาหุ้น BP มีราคา 450p ต่อหุ้น
- คุณพอใจกับผลกำไรของคุณจึงตัดสินใจที่จะขายหุ้น
- คุณจะได้กำไร 100p ต่อหุ้น (450p-350p) และหุ้นจำนวน 1,000 หุ้นของคุณนั้นจะ สามารถทำกำไรได้ทั้งหมด 1,000 ปอนด์
กำไร 1,000 ปอนด์นี้เรียกว่ากำไรจากส่วนต่างราคา
2. เงินปันผล
คุณยังจะมีโอกาสได้รับเงินจากหุ้นในรูปของเงินปันผล เพราะในขั้นพื้นฐานนั้นมีการอนุญาตให้บริษัท ขนาดใหญ่แบ่งปันผลกำไรกับผู้ถือหุ้น
หากเป็นเช่นนั้นคุณจะมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งจากเงินที่ได้ลงทุนในหุ้น เงินปันผลที่คุณได้รับจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของบริษัทที่คุณทำการลงทุน และไม่ใช่หุ้นทุกตัวที่จะจ่ายเงินปันผล แต่หากมีการจ่ายเงินปันผลพวกเขามักจะจ่ายทุก 3 หรือ 6 เดือน
นี่คือวิธีการทำงานของหุ้นปันผล:
- สมมติว่าคุณถือหุ้นจำนวน 500 หุ้นใน HSBC
- บริษัทจ่ายเงินปันผลทุกสามเดือน
- รอบนี้ HSBC ประกาศผลตอบแทนเงินปันผล 7%
- จำนวนนี้คิดเป็นเงินอยู่ที่ 0.28 ปอนด์ต่อหุ้น
- คุณถือ 500 หุ้นดังนั้นคุณจะได้รับทั้งหมด 140 ปอนด์ (0.28 x 500 หุ้น)
สิ่งที่ดีที่สุดเกี่ยวกับเงินปันผลคือ นี่เป็นรายได้อีกทางหนึ่งที่นอกเหนือจากผลกำไรจากการลงทุนของคุณ ในโลกแห่งอุดมคติคุณจะลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นในขณะเดียวกันก็มีการจ่ายเงินปันผลเป็นประจำ!
แม้ว่าผลการดำเนินงานในอดีตไม่เคยเป็นตัวบ่งชี้ผลลัพธ์ในอนาคต แต่ด้านล่างนี้คุณจะพบกับผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีของ FTSE 100 ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา
หากคุณต้องการผลการตอบแทนเหล่านี้ คุณจะต้องลงทุนใน ETF หรือกองทุนรวมที่ติดตาม FTSE 100
3. การเติบโตของพอร์ตแบบทบต้น
แทนที่จะทำการขายเมื่อหุ้นทำกำไรหรือถือไว้นานขึ้นเพื่อรับเงินปันผล แต่นักลงทุนอีกหลายคนกลับใช้วิธีการเพิ่มการลงทุนซ้ำในสินทรัพย์เดิมเพื่อสร้างผลตอบแทนที่มากขึ้นเมื่อระยะเวลาผ่านไป สิ่งเหล่านี้เรียกว่าการเติบโตของพอร์ตแบบทบต้น การถือหุ้นไว้เป็นเวลานานและการลงทุนใหม่อย่างต่อเนื่องจะทำให้คุณได้รับผลตอบแทนที่คุณเห็นได้ว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ลองมาดูตัวอย่างวิธีการทำงานของการเติบโตแบบทบต้น:
- คุณลงทุนเป็นเงิน 100 ปอนด์ต่อเดือนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทน 6%
- หากคุณทำสิ่งนี้เป็นเวลา 10 ปีคุณจะต้องลงทุน 13,200 ปอนด์และมีเงิน 18,915 ปอนด์
- หากคุณทำสิ่งนี้เป็นเวลา 20 ปีคุณจะต้องลงทุน 25,200 ปอนด์และมีเงิน 50,640 ปอนด์
- หากคุณทำสิ่งนี้มา 40 ปีคุณจะต้องลงทุน 49,200 ปอนด์และมีเงิน 209,201 ปอนด์
เหตุผลที่การลงทุนของคุณเติบโตในลักษณะนี้เป็นเพราะคุณได้รับผลกำไรจากการลงทุนซ้ำจากการลงทุนเดิมของคุณ ซึ่งหมายความว่าในแต่ละปีคุณจะได้ผลตอบแทนมากขึ้นจากการลงทุนในครั้งแรกและผลกำไรแบบทบต้นของคุณจากการลงทุนซ้ำ
การเติบโตแบบทบต้นนี้ต้องใช้ความอดทนอย่างมากเนื่องจากผลกำไรเริ่มต้นมีจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น แต่ในระยะยาวก็อาจมีผลกำไรสูงที่ได้ แน่นอนว่าคุณต้องคำนึงถึงความผันผวนของอัตราเงินเฟ้อและค่าธรรมเนียมด้วย และหากคุณลงทุนได้ถูกวิธีการเลือกผลตอบแทนแบบทบต้นนี้อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการเพิ่มพูนความมั่งคั่งของคุณผ่านหุ้นก็เป็นได้
สิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนซื้อหุ้นบริษัท
แม้ว่าตลาดหุ้นจะมีผลการดำเนินงานที่ดีในอดีตแต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นในทุกบริษัท ในทางตรงกันข้ามในปัจจุบัยบริษัทหลายแห่งทั้งในไทยและในต่างประเทศมีมูลค่าเพียงเศษเสี้ยวของมูลค่าสูงสุดที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีนี้กับธนาคารหลาย ๆ แห่งในอังกฤษ เช่น HSBC และ Natwest ที่ไม่เคยฟื้นตัวจากวิกฤตการเงินในปี 2551ได้อย่างแท้จริง
เมื่อคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้แล้ว ด้านล่างนี้คุณจะพบกับการแบ่งปันเคล็ดลับที่มีประโยชน์ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถลดความเสี่ยงได้เมื่อคุณทำการเรียนรู้วิธีการลงทุนในหุ้นไทยเป็นครั้งแรก
เคล็ดลับที่ 1: กระจายความเสี่ยงให้มากที่สุด
สรุปได้ว่าการกระจายความเสี่ยงนั้นคือการทำตรงกันข้ามกับการใส่การลงทุนทั้งหมดลงในสินทรัพย์เพียงตัวเดียว กล่าวคือแทนที่จะลงทุนในบริษัทหนึ่งหรือสองบริษัท แต่คุณสามารถทำให้พอร์ตโฟลิโอที่มีความหลากหลายด้วยการถือหุ้นหลายสิบตัว และไม่เพียงแค่นี้ แต่คุณควรจะลงทุนในบริษัทจากหลายภาคส่วนอีกด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะไม่เปิดรับเฉพาะช่องทางใดช่องทางหนึ่งจนมากเกินไป ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณมีเงิน 5,000 ปอนด์เพื่อลงทุนในตลาดหุ้น นักลงทุนที่ไม่มีประสบการณ์อาจใช้เงินทั้งหมด 5,000 ปอนด์เพื่อลงทุนในบริษัทเดียว
แต่นักลงทุนที่ฉลาดมักจะซื้อหุ้นในบริษัทต่าง ๆ ที่ครอบคลุมหลายภาคส่วน จำนวน 100 แห่งในราคา 50 ปอนด์ต่อแห่ง
เคล็ดลับที่ 2: เริ่มต้นด้วยเงินทุนที่ต่ำ
หากคุณไม่เคยเรียนรู้วิธีการลงทุนในหุ้นไทยมาก่อน การเริ่มต้นด้วยเงินลงทุนที่ต่ำอาจคุ้มค่ามากกว่า ซึ่งโบรกเกอร์การซื้อขายหุ้นในไทยที่ได้รับการควบคุมส่วนใหญ่ก็มักจะนำเสนอตัวเลือกในการลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำซึ่งโดยปกติจะอยู่ในช่วง 100-200 ปอนด์ ในทางกลับกันคุณเองไม่จำเป็นต้องอัดฉีดยอดทั้งหมดลงในการซื้อขายเพียงครั้งเดียว
เคล็ดลับที่ 3: เรียนรู้วิธีการวิเคราะห์หุ้น
เมื่อคุณเรียนรู้วิธีการซื้อหุ้นสิ่งหนึ่งที่สำคัญสำหรับคุณที่จะต้องเรียนรู้คือวิธีการรวบรวมข้อมูลวิเคราะห์หุ้น เราจะไม่ได้พูดถึงอะไรที่ซับซ้อนเกินไปเช่น การวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือการอ่านกราฟ ในทางตรงกันข้ามเราเพียงต้องการตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้มีการติดตามการพัฒนาของตลาดตลาดที่สำคัญ ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าการลงทุนของคุณ
- ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณลงทุนใน Royal Mail เป็นเงินจำนวน 3,000 ปอนด์
- หาก Royal Mail ประกาศว่ามีแผนที่จะลดงานหลายร้อยตำแหน่ง คุณคิดว่าสิ่งนี้จะส่งผลต่อราคาหุ้นอย่างไร?
- ไม่ต้องสงสัยเลยว่าข่าวเชิงลบเช่นนี้น่าจะส่งผลให้ผู้ถือหุ้นเทขายออกไปจำนวนมาก
- ซึ่งนั้นจะทำให้มูลค่าของหุ้นจะลดลง
- ด้วยเหตุนี้หากคุณขายหุ้นในทันทีที่มีการประกาศข่าว คุณจะสามารถการลดการสูญเสียที่เกิดขึ้นได้และยังได้รับเงินคืนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้อีกด้วย
ดังนั้นการสมัครรับการแจ้งเตือนข่าวสารด้วยแพลตฟอร์มของบุคคลที่สามจึงอาจจะมีความคุ้มค่า ตัวอย่างเช่น Yahoo! Finance ที่ช่วยให้คุณสามารถเพิ่มบริษัทที่ต้องการลงทุนลงในพอร์ตโฟลิโอ จากนั้นคุณสามารถเลือกที่จะรับข่าวสารแบบเรียลไทม์เมื่อมีเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเคล็ดลับเกี่ยวกับหุ้นและการขายหุ้น โปรดศึกษาเพิ่มเติมในคู่มือการซื้อหุ้นที่ดีที่สุดของเรา
ตัวอย่างบางส่วนของวิธีการวิเคราะห์หุ้นที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมีดังต่อไปนี้:
- อัตราส่วนราคาต่อกำไร (Price-to-Earnings Ratio): อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P / E) จะพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างรายได้ของบริษัทกับราคาหุ้น สิ่งนี้จะช่วยให้นักลงทุนตรวจสอบได้ว่าหุ้นนั้นมีมูลค่าต่ำกว่าหรือสูงเกินไป คุณเพียงแค่ต้องหารราคาหุ้นปัจจุบันกับกำไรต่อหุ้นของบริษัท คุณก็จะได้อัตราส่วนที่ต้องการ แม้ว่าจะมีตัวแปรอื่น ๆ อีกมากมายที่ต้องพิจารณา แต่ตลาดหุ้นหลัก ๆ ของสหรัฐฯก็ล้วนมีอัตราส่วนราคาต่อกำไรระหว่าง 13-15 โดยเฉลี่ย
- อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน: อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะดูว่าบริษัทมีหนี้ที่มีความสัมพันธ์กับส่วนของผู้ถือหุ้นมากน้อยเพียงใด พูดง่ายๆก็คือทำให้คุณรู้ว่าบริษัทมีหนี้ในมือมากเกินไปหรือไม่ การคำนวณจะแสดงผลในค่าอัตราส่วนระหว่าง 0 ถึง 1 และยิ่งจำนวนสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งแสดงว่าบริษัทนั้นมีหนี้มากยิ่งขึ้น (เมื่อเทียบกับขนาดของส่วนของผู้ถือหุ้น) คุณจำเป็นต้องประเมินประเภทของอุตสาหกรรมที่บริษัทกำลังดำเนินการอยู่เมื่อใช้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน เนื่องจากเป็นที่ยอมรับกันว่าบางภาคส่วนจำเป็นต้องมีภาระหนี้มากกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ (เช่น บริษัทก่อสร้าง)
มีวิธีการวิเคราะห์พื้นฐานอื่น ๆ อีกมากมายที่ใช้โดยนักลงทุนมือโปร ซึ่งคุณสามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการเลือกหุ้นแบบ DIY ได้ที่นี่
เคล็ดลับที่ 4: พอร์ตการซื้อขายแบบคัดลอก
หากคุณมีความรู้เพียงเล็กน้อยหรือไม่มีความรู้เลยว่าหุ้นนั้นมีการทำงานอย่างไร คุณควรพิจารณาข้อดีของพอร์ตการซื้อขายแบบคัดลอก ซึ่งในแพลตฟอร์มที่เหมาะอย่างยิ่งกับมือใหม่ นั้นช่วยให้คุณสามารถทำการคัดลองการซื้อขายของนักลงทุนที่มีประสบการณ์ได้
ไม่เพียงแต่พอร์ตการลงทุนในปัจจุบันของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการลงทุนแต่ละครั้งที่ผ่านมาด้วย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณต้องตรวจสอบข้อมูลประจำตัวของเทรดเดอร์ก่อนที่คุณจะลงทุนตามเขาเหล่านั้นด้วยเงินของคุณ ทั้งนี้การคัดลอกการซื้อขายช่วยให้คุณสามารถลงทุนในหุ้นได้โดยไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น ดังนั้นจึงเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักลงทุนรายใหม่
วิธีการเลือกโบรกเกอร์ในไทยสำหรับการลงทุนในหุ้น
ตอนนี้คุณรู้ในการวิธีซื้อหุ้นแล้ว แต่คุณมีโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้และตรงกับความต้องการในการลงทุนของคุณแล้วหรือไม่? ทั้งนี้ในตลาดมีโบรกเกอร์จำนวนมากหลากหลายและพวกเขาทั้งหมดล้วนแตกต่างกันในแง่ของสินทรัพย์ที่ซื้อขาย, ค่าธรรมเนียมและคุณสมบัติต่าง ๆ ดังนั้นคุณต้องใช้เวลาในการหาข้อมูลเกี่ยวกับแพลตฟอร์มต่าง ๆ ก่อนที่จะตัดสินใจใช้บริการกับโบรกเกอร์ที่ใดที่หนึ่ง
ปัจจัยที่สำคัญที่สุดบางประการที่คุณต้องระมัดระวัง ได้แก่ :
ระเบียบการดำเนินการทางการเงิน
ปัจจัยแรกและเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่คุณต้องพิจารณาก่อนใช้งานโบรกเกอร์หุ้นคือ การควบคุมโดย Financial Conduct Authority (FCA) หรือหน่วยงานกำกับดูแลอื่น ๆ เช่น CySEC, ASIC เป็นต้น เพื่อให้แน่ใจว่าคุณสามารถซื้อขายและแลกเปลี่ยนหุ้นภายใต้การคุ้มครองที่เหมาะสม
ตัวอย่างเช่น:
- โบรกเกอร์ FCA ทั้งหมดจะต้องผ่านขั้นตอนการคัดเลือกที่เข้มงวด ก่อนที่จะสามารถให้บริการแก่เทรดเดอรในไทยได้อย่างถูกกฎหมาย
- แพลตฟอร์มจะต้องมีการตรวจสอบโดย FCA เป็นประจำทุกไตรมาส
- เงินทั้งหมดของลูกค้าจะต้องเก็บไว้ในบัญชีธนาคารที่แยกออกจากกัน นี่คือการป้องกันที่สำคัญเพราะมันหมายถึงการที่โบรกเกอร์จะไม่สามารถใช้เงินลงทุนของคุณเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนของตนเอง
- บัญชีธนาคารที่แยกจากกันยังหมายความว่า หากเทรดเดอร์ประสบปัญหาทางการเงินเงินของคุณจะถูกปกป้องเป็นอย่างดี
สรุปแล้วอย่าพึ่งลงทะเบียนกับแพลตฟอร์มการซื้อขายหุ้นในไทยหากโบกเกอร์รายนั้นไม่ได้ถือใบอนุญาตของ FCA
วิธีการชำระเงินในไทย
เมื่อคุณประเมินสถานะการกำกับดูแลของโบรกเกอร์แล้ว คุณจะต้องสำรวจว่าโบรกเกอร์นั้นรองรับวิธีการชำระเงินแบบใด ในกรณีส่วนใหญ่แพลตฟอร์มการซื้อขายหุ้นในไทยจะยอมรับบัตรเดบิต / บัตรเครดิตและการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร ซึ่งแบบหลังนี้เหมาะสำหรับการฝากเงินจำนวนมากมากกว่า 10,000 ปอนด์
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์ที่อาจใช้เวลา 1 ถึง 3 วันทำการสำหรับการโอนเงินผ่านธนาคารในบัญชีของคุณ แต่ถ้าคุณทำการโอนเงินผ่านธนาคารแบบทันทีพวกเขาจะได้รับเงินภายในสองชั่วโมง
โบรกเกอร์ซื้อขายหลักทรัพย์เช่น Libertex ยังรองรับช่องทางการชำระเงินแบบ e-wallets: Skrill, Neteller และ Paypal ที่ให้ความสะดวกที่สุด
คุณสามารถซื้อหุ้นอะไรได้บ้างในไทย?
ดังที่เราได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ มีบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลายหมื่นแห่งในหลากหลายตลาดหุ้น แต่ตลาดที่คุณจะสามารถเข้าถึงได้จะขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์ที่คุณสมัครใช้บริการด้วย ตัวอย่างเช่น ใน Libertex, Plus500 และ IG คุณจะสามารถซื้อขายและซื้อขายหุ้นของบริษัท ต่าง ๆ ได้มากกว่า 10,000 บริษัท
ซึ่งรวมถึงหุ้นของบริษัทที่ระบุไว้ใน:
- ตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน (สหราชอาณาจักร)
- Alternative Investment Market (สหราชอาณาจักร)
- NASDAQ (สหรัฐฯ)
- ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (สหรัฐฯ)
- ตลาดหลักทรัพย์โตเกียว (ญี่ปุ่น)
- ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง (ฮ่องกง)
- และอื่น ๆ อีกมากมาย!
ทางที่ดีคุณควรเลือกโบรกเกอร์หุ้นที่ครอบคลุมทั้งในตลาดของไทยและตลาดต่างประเทศเพราะจะทำให้คุณมีโอกาสในการกระจายความเสี่ยงได้ดีที่สุด ตัวอย่างเช่น Libertex ที่อนุญาตให้คุณซื้อหุ้นได้จาก 17 ตลาดที่แตกต่างกันทั่วโลก
ค่าธรรมเนียมและค่าคอมมิชชั่น
มีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายหลายอย่างที่คุณต้องพิจารณาเมื่อคุณกำลังมองหาโบรกเกอร์ สำหรับการซื้อขายหุ้น ซึ่งรวมถึงค่าคอมมิชชั่น, ค่าธรรมเนียมบัญชีรายปีและค่าธรรมเนียมการถอนเงินอีกด้วย
ข่าวดีก็คือแพลตฟอร์มการซื้อขายหุ้นในไทยแห่งอนุญาตให้คุณซื้อหุ้นได้โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการซื้อขายหรือค่าธรรมเนียมรายปี เนื่องจากพวกเขาสร้างรายได้จากค่า “สเปรด” หรือค่าธรรมเนียมเพียงครั้งเดียวเมื่อคุณทำการฝากเงินครั้งแรก
ซื้อหุ้นได้ที่ไหน – แพลตฟอร์มซื้อขายหุ้นในไทยดีที่สุดประจำปี 2024
การหาเวลาในการค้นคว้าข้อมูลเชิงลึกของโบรกเกอร์ซื้อขายหลักทรัพย์ออนไลน์อาจเป็นเรื่องที่ยาก ด้านล่างนี้คุณจะพบกับโบรกเกอร์ซื้อขายหุ้นที่ดีที่สุด ที่ตรงตามข้อกำหนดต่าง ๆ สามารถทำหน้าที่เป็นผู้จัดการการลงทุนสำหรับหุ้นของคุณได้ และรวมถึงการมีใบอนุญาตจาก Financial Conduct Authority นอกจากนี้ยังที่รองรับการชำระเงินด้วยบัตรเดบิต / บัตรเครดิตของไทยและบัญชีธนาคาร ทั้งยังสามารถทำการซื้อและขายหุ้นได้ทั้งในไทยและต่างประเทศ
1. AvaTrade – นำเสนอบัญชีซื้อขายหุ้นที่หลากหลาย
ด้วย AvaTrade ผู้ใช้สามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มการซื้อขายและประเภทบัญชีที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึงการเดิมพันแบบสเปรด, การซื้อขาย option , การซื้อขาย CFD และบัญชีการซื้อขายแบบอิสลาม นอกจากนี้ยังมีแพลตฟอร์มสำหรับการซื้อขายอย่าง MetaTrader 4 และ MetaTrader 5 อีกด้วย
ในขณะที่คุณสามารถซื้อขาย CFD ของหุ้นผ่านแพลตฟอร์ม ที่ AvaTrade คุณยังสามารถเข้าถึงตลาดทั่วโลกมากกว่า 1,250+ แห่งที่ครอบคลุมหุ้น, สินค้าโภคภัณฑ์, ดัชนีหุ้น, สกุลเงินและสกุลเงินดิจิทัลทั่วโลก
ที่ดีกว่าคือคุณสามารถซื้อขายได้โดยไม่มีค่าคอมมิชชั่น และโบรกเกอร์ยังอยู่ภายใต้การควบคุมในหกเขตอำนาจศาลที่แตกต่างกัน!
ค่าธรรมเนียมของ AvaTrade:
ค่าคอมมิชชั่น | 0% |
ค่าธรรมเนียมการฝาก | ฟรี |
ค่าธรรมเนียมการถอน | ฟรี |
ค่าธรรมในกรณีไม่มีการใช้งานบัญชี | มีค่าธรรมเนียม $50 หลังจากไม่มีการใช้งานติดต่อกัน 3 เดือน |
ข้อดี:
- ควบคุมในหกเขตอำนาจศาลที่แตกต่างกัน
- มีซื้อขายในตลาดมากกว่า 1,250+ แห่งทั่วโลก
- ค่าคอมมิชชั่น 0% จ่ายเพียงแค่ค่าสเปรดและสว็อปเล็กน้อย
- มีค่าธรรมเนียมการฝากหรือถอนเป็นศูนย์
ข้อด้อย:
- มีค่าธรรมในกรณีไม่มีการใช้งานบัญชี
71% ของนักลงทุนรายย่อยเสียเงินจากการเทรด CFDs ที่นี่
2. Libertex – โบรกเกอร์สำหรับหุ้ย CFD Stock ที่มีค่าสเปรดเป็นศูนย์
ที่ Libertex ให้ข้อเสนอในการซื้อขายที่ไม่เหมือนใคร แทนที่จะเรียกเก็บค่าสเปรดแต่ที่นี่จะเรียกเก็บค่าคอมมิชชั่นเพียงเล็กน้อยสำหรับการซื้อและขายแทน! ด้วยข้อเสนอสเปรดเป็นศูนย์นี้มีความพิเศษและมีให้บริการสำหรับตลาดทั่วโลกมากกว่า 213+ แห่ง
ด้วย Libertex คุณสามารถซื้อขาย CFD ในหุ้นทั่วโลก, สกุลเงิน, สินค้าโภคภัณฑ์, สกุลเงินดิจิทัล, ดัชนีหุ้นและอื่น ๆ นอกจากนี้พวกเขายังให้บริการหุ้นหลักในภาคส่วนที่น่าสนใจเช่น หุ้นกัญชาซึ่งโบรกเกอร์บางรายยังไม่สบายใจที่จะให้บริการในส่วนนี้
ในการซื้อขายหุ้นจะมีค่าคอมมิชชั่นตั้งแต่ 0% ถึง 0.5% แต่สำหรับบัญชีบางประเภทคุณจะได้รับส่วนลด 50% และทั้งหมดนี้ไม่มีค่าสเปรด!
ค่าธรรมเนียมของ Libertex :
ค่าคอมมิชชั่น | 0%-0.5% สำหรับหุ้น |
ค่าธรรมเนียมการฝาก | ฟรี |
ค่าธรรมเนียมการถอน | 1 EUR สำหรับบัตรเครดิต/เดบิต, 1% สำหรับ Neteller และฟรีสำหรับSkrill |
ค่าธรรมในกรณีไม่มีการใช้งานบัญชี | 10 EUR หลังจาก 180 วัน |
ข้อดี:
- เทรดด้วยสเปรดเป็นศูนย์!
- เข้าถึงสินทรัพย์ได้หลากหลายประเภท
- ซื้อขายด้วยส่วนลดค่าคอมมิชชั่น 50%
- แพลตฟอร์มเว็บที่ใช้งานง่าย
ข้อด้อย:
- ให้บริการซื้อขายด้วย CDF เท่านั้น
70.8% ของบัญชีนักเทรดรายย่อยสูญเสียเงินเมื่อทำการเทรด CFDs กับทางแพลตฟอร์มนี้
ข้อดีและข้อเสียของการลงทุนในหุ้น?
ข้อดี:
- ในอดีตหุ้นให้ผลตอบแทน 5-8% ต่อปี ซึ่งดีกว่าธนาคาร
- สภาพคล่องสูง คุณจะไม่ต้องรอเวลาเพื่อซื้อหุ้น
- เพิ่มมูลค่าการลงทุนของคุณได้เมื่อหุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้น
- รับรายได้แบบพาสซีฟในรูปของเงินปันผล
- ลดความเสี่ยงของคุณด้วยการสร้างพอร์ตการลงทุนที่หลากหลาย
- แพลตฟอร์มการซื้อขายที่ระบุไว้ในไซต์นี้ได้รับการควบคุมที่น่าเชื่อถือ
- โบรกเกอร์ซื้อขายหุ้นออนไลน์บางรายอนุญาตให้คุณซื้อหุ้นได้โดยไม่มีค่าคอมมิชชั่น
- ฝากเงินได้อย่างง่ายดายด้วยบัตรเดบิต / เครดิตในไทย, e-wallet หรือบัญชีธนาคาร
- การลงทุน 1,000 ปอนด์ใน Amazon ในปี 1997 มีมูลค่าถึง 2.5 ล้านปอนด์!
ข้อด้อย:
- คุณอาจสูญเสียเงิน
- คุณจะต้องเลือกการลงทุนของคุณเอง
- ไม่มีรับประกันว่าหุ้นของคุณจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น
วิธีการซื้อหุ้น – บทสรุป
กระบวนการซื้อหุ้นในไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา คุณไม่จำเป็นต้องพูดคุยเพื่อทำการสั่งซื้อและขายกับโบรกเกอร์ผ่านทางโทรศัพท์อีกต่อไป แต่คุณก็จะต้องเลือกแพลตฟอร์มซื้อขายหุ้นออนไลน์ที่มีการควบคุม และมีการให้บริการการฝากเงินด้วยบัตรเดบิต / เครดิตในไทย จากนั้นคุณก็สามารถเลือกซื้อที่คุณต้องการซื้อได้แล้ว เราขอแนะนำให้คุณลองใช้ Libertex เนื่องจากที่นี่ผ่านการรับรองของ FCA และไม่มีค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขาย
70.8% ของบัญชีนักเทรดรายย่อยสูญเสียเงินเมื่อทำการเทรด CFDs กับทางแพลตฟอร์มนี้