10 ETF ที่ดีที่สุดในไทยและต่างประเทศ พร้อมวิธีเลือก
ถึงแม้ว่าจะมีองค์ประกอบที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับการสรรหาเพื่อเลือกหุ้นแต่ละตัว แต่ในบางครั้งก็ควรพิจารณา ETF เสียจะดีกว่า เพราะการทำแบบนี้คุณมักจะได้ลงทุนในหุ้นหลายร้อยตัวจากตลาดและภาคต่างๆในเวลาเดียวกัน
เพราะอย่างนี้คุณจึงสามารถกระจายความเสี่ยงได้อย่างง่ายดายและใช้แนวทางในการลงทุนกระจายความเสี่ยงแทน นอกจากตลาดหลักทรัพย์ที่กว้างขึ้นแล้ว ETF ยังสามารถติดตามประเภทสินทรัพย์อื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น พันธบัตร สินค้าโภคภัณฑ์และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ
ในคู่มือนี้เราจะแนะนำ ETF ที่ดีที่สุด เจาะลึกกองทุน ETF ตัวไหนดี มีอะไรบ้าง etf ซื้อที่ไหนดี etf ปันผลสูง เหมาะแก่การลงทุน ว่า ETF ที่ดีที่สุด ตัวใดที่ควรค่าแก่การพิจารณาในปี 2024
เพื่อสรุปคำแนะนำของเราเกี่ยวกับ ETF ที่ดีที่สุดสำหรับปี 2024 – เราจะแนะนำคุณตลอดในทุกขั้นตอนการลงทุนครั้งแรกของคุณ:
- 1 – เปิดบัญชีและอัปโหลดยืนยันตัวตน
- 2 – ทำการฝากเงิน
- 3 – ค้นหา ETF
- 4 – ลงทุนใน ETF
- 5 – การปันผลและการถอนเงิน
70.8% ของบัญชีนักเทรดรายย่อยสูญเสียเงินเมื่อทำการเทรด CFDs กับทางแพลตฟอร์มนี้
รายชื่อ ETF ที่ดีที่สุดในประเทศไทยในปี 2024
ก่อนที่จะอ่านบทวิเคราะห์เกี่ยวกับการลงทุนของเราแบบละเอียด – ลองดู ETF ที่ดีที่สุดในประเทศไทยที่เราได้เลือกและ ETF อื่นๆ อีก 9 รายการที่เราชอบ
- ETF SPDR S&P 500 – โดยรวมเป็น ETF ที่ดีที่สุดในประเทศไทย
- ETF iShares Core FTSE 100 UCITS – ETF ที่ดีที่สุดในประเทศไทยสำหรับการลงทุนใน LSE
- ETF SDPR Gold – ETF ที่ดีที่สุดในการลงทุนในทองคำ
- ETF iShares Core U.S. REIT – ETF ที่ดีที่สุดในประเทศไทยสำหรับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
- ETF SPDR Dow Jones Industrial Average – ETF ที่ดีที่สุดในประเทศไทยสำหรับลงทุนใน SPDR Dow Jones
- ETF พันธบัตรระยะสั้น Vanguard – ETF ที่ดีที่สุดที่จะซื้อเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากตลาดหุ้นที่ไม่แน่นอน
- ETF Vanguard Growth Index Fund – ETF ที่ดีที่สุดในประเทศไทยสำหรับลงทุนหุ้นเติบโตเร็ว
- ETF FTSE All-World UCITS – ETF ที่ดีที่สุดในประเทศไทยสำหรับพอร์ตหุ้นระดับโลก
- ETF กองทุนน้ำมันสหรัฐฯ – ETF ที่ดีที่สุดที่เพื่อลงทุนในราคาน้ำมัน
- ETF หุ้นปันผลสูง iShares Core – ETF ที่ดีที่สุดในประเทศไทยสำหรับหุ้นปันผลที่มั่นคง
รีวิว ETF ที่ดีที่สุด ในประเทศไทย
รวมๆ แล้วมี ETF หลายร้อยตัวในตลาดประเทศไทยซึ่งส่วนใหญ่สามารถลงทุนได้อย่างสะดวกสบายในบ้านของคุณเอง
ซึ่งมันครอบคลุมแทบทุกตลาดที่มีอยู่ – รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงหุ้นปันผล ทองคำ ตราสารบริษัท เงินคลังสหรัฐและอสังหาริมทรัพย์ ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีการศึกษามากมายที่ต้องทำก่อนที่คุณจะกระโดดลงในเกมการเงินนี้
และเพื่อให้คุณมีแรงบันดาลใจ ด้านล่างนี้เราจะพูดถึงการลงทุน ETF ที่ดีที่สุดในตลาดประเทศไทยตอนนี้เลย!
1. ETF SPDR S&P 500 – โดยรวมเป็น ETF ที่ดีที่สุดในประเทศไทย
ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนที่ช่ำชองหรือเป็นมือใหม่ก็ตาม เราคงจะเถียงหากคุณไม่เห็นด้วยว่า ETF SPDR S&P 500 เป็น ETF ที่เหนือกว่า ETF อื่นๆ ในตลาด และตามชื่อของมันคือ ETF นี้จะติดตามดัชนี S&P 500 หากคุณไม่คุ้นเคยกับดัชนีนี้ นี่เป็นดัชนีหุ้นที่มีการซื้อขายกันมากที่สุดในโลก
พูดง่ายๆ คือ S&P 500 จะตามหุ้นใหญ่ที่สุดที่จดทะเบียนในสหรัฐอเมริกา 500 ตัว ซึ่งรวมทั้ง NYSE และ NASDAQ ดังนั้นคุณจะได้ลงทุนในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดและได้รับการยอมรับมากที่สุด ซึ่งมีหุ้นทุกอย่างตั้งแต่ หุ้น อเมซอน, Visa, Nike, Apple, Johnson & Johnson, MasterCard, Facebook, Microsoft และล่าสุดก็มี Tesla ด้วย
เหมือนกับดัชนีตลาดหุ้นส่วนใหญ่ S&P 500 นั้นจะมีน้ำหนักตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ บริษัทขนาดใหญ่ เช่น Amazon และ Apple จะมีการเคลื่อนไหวของราคาของดัชนีที่ใหญ่มาก สิ่งสำคัญของการลงทุนใน ETF SPDR S&P 500 คุณกำลังซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมด 500 ตัว
ตัวอย่างเช่น สมมติว่า Facebook มีน้ำหนัก 2% ในขณะที่ IBM มีน้ำหนักอยู่ที่ 1% หากคุณลงทุน £5,000 ใน ETF SPDR S&P 500 คุณจะเป็นเจ้าของหุ้น Facebook มูลค่า £100 และหุ้น IBM มูลค่า £50 และในทางกลับกันหากหุ้นตัวใดตัวหนึ่งใน ETF ของคุณนั้นจ่ายเงินปันผล คุณก็จะมีสิทธิได้รับในส่วนของคุณด้วย
ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถสร้างรายได้จากทั้ง 2 ทาง ในแง่ของการดำเนินการ ที่ผ่านมา S&P 500 ได้จัดการผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ต่อปีนับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อเกือบ 100 ปีที่แล้ว ตามปกติแล้วการลงทุน ETF ใดๆ ที่คุณลงทุนจะเป็นไปตามความเหมาะสม
2. ETF iShares Core FTSE 100 Index – ETF ที่ดีที่สุดในประเทศไทยสำหรับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน
จากมุมมองของการลงทุน มีหลายสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร ไม่เพียงแต่สหราชอาณาจักรจะเป็นที่ตั้งของการเปิดตัววัคซีนที่เร็วที่สุดแห่งหนึ่งทั่วโลก แต่ค่าเงินปอนด์ยังคงอยู่ในช่วงตลาดกระทิง ด้วยเหตุนี้จึงยังคงมีหุ้นราคาถูกจำนวนมากในตลาดปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นเพราะหลายภาคส่วนยังคงตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายจากการปิดตัวเป็นวงกว้างขึ้นเนื่องจาก COVID
เพราะเหตุนี้ นี่จึงเป็นเวลาที่ดีที่จะลงทุนใน FTSE 100 เพราะนี่คือดัชนีตลาดตราสารทุนหลักของสหราชอาณาจักรที่ตามบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนมากถึง 100 แห่ง วิธีที่ง่ายที่สุดในการสำรองซื้อ FTSE 100 คือผ่านทาง ETF ซึ่งตัวเลือกที่ได้รับความนิยมที่สุดในตลาดคือ iShares Core FTSE 100 UCITS
ETF ตัวนี้จะติดตาม FTSE แบบ like-for-like ด้วยการลงทุนในบริษัททั้ง 100 แห่งในน้ำหนักที่ถูกต้อง ซึ่งจะมีการปรับสมดุลใหม่ในทุกๆ สามเดือน เพื่อให้แน่ใจว่า ETF แสดงผลได้ใกล้เคียงกับดัชนีที่สุด
เพื่อให้คุณได้เห็นว่าเงินของคุณจะถูกจัดสรรไปยังที่ใด สมมติว่าคุณซื้อหุ้น Unilever และ AstraZeneca 5% ,HSBC 4% และ Rio Tinto, Diageo, Royal Dutch Shell, GlaxoSmithKline, BP และ British American Tobacco อีก 3% เห็นได้ชัดว่าคุณมีความหลากหลายในเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรเป็นวงกว้าง
เช่นเดียวกันกับ ETF SPDR S&P 500 ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ iShares จะทำการจ่ายส่วนแบ่งเงินปันผลของคุณในทุกๆ สามเดือน และในแง่ของการดำเนินการที่ผ่านมา FTSE 100 ยังคงมีมูลค่าน้อยกว่าก่อนเกิดการระบาด แต่นี่เป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนที่เหมือนมีส่วนลด ซึ่งดัชนีนี้ต้องการเพิ่มอีก 16% เพื่อที่กลับไปที่ระดับ 7,600 จุด ซึ่งครั้งที่มันแตะจุดนั้นล่าสุดคือเดือนกุมภาพันธ์ปี 2020
3. ETF SDPR Gold – ETF ที่ดีที่สุดในการลงทุนในทองคำ
การย้ายออกจากหุ้นกันก่อนสักพัก ต่อไปคือ ETF ที่ดีที่สุดในประเทศไทยคือ SDPR Gold ซึ่งเป็น ETF ทองคำที่ดีที่สุดอันดับต้นๆ ที่เราแนะนำ ตามชื่อของมันเลย ETF นี้จะช่วยให้คุณเข้าถึงตลาดทองคำได้โดยตรงโดยที่คุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับพื้นที่ที่จะใช้จัดเก็บทองจริงๆ จากการลงทุน ETF เพียงครั้งเดียวคุณจะได้กำไรจากการเพิ่มขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก
จริงๆ แล้ว ETF SDPR Gold เป็นกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนทองคำที่เป็นทองจริงที่ใหญ่ที่สุดในโลก พูดกันง่ายๆ คือผู้ให้บริการ ETF อย่าง SDPR จะซื้อและจัดเก็บทองคำในนามของนักลงทุนซึ่งหมายความว่า มูลค่าของ ETF จะขึ้นและลงตามราคาของทองคำนั่นเอง
ตามที่เราได้พูดถึงไว้ในบทความของเราเกี่ยวกับวิธีการลงทุนในทองคำ เครื่องสะสมมูลค่านี้ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามมาปีแล้ว แค่ช่วงห้าปีที่ผ่านมา ทองคำมีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 45% และมันเพิ่มขึ้น 580% เมื่อเทียบกับ 20 ปีก่อน นอกจากนี้ทองคำยังเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการป้องกันอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นและตลาดหุ้นที่ต่ำลง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้กองทุน ETF SDPR Gold ได้รับความนิยมอย่างมาก
ข้อเสียหลักของ ETF ตัวนี้ อาจจะเป็นการที่คุณจะไม่ได้รับผลประโยชน์จากเงินปันผลรายไตรมาส แต่ท้ายที่สุดแล้วทองคำเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ ดังนั้นวิธีเดียวที่คุณจะทำเงินได้คือก็ต่อเมื่อสินทรัพย์เพิ่มราคาขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้น นี่จะสะท้อนให้เห็นในการลงทุน ETF SDPR Gold ของคุณ โดยที่คุณสามารถถอนเงินได้ตลอดเวลาในเวลาทำการตลาดมาตรฐาน
4. ETF iShares Core U.S. REIT – ETF ที่ดีที่สุดในประเทศไทยสำหรับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
มักจะมีความเข้าใจผิดในประเทศไทยว่าวิธีเดียวที่จะลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้นั้นคือต้องซื้อบ้าน ซึ่งหมายถึงมาพร้อมกับภาระผูกพันในการจำนองบ้านอีกกว่า 35 ปีหรือเป็นการลงทุนจากเงินก้อนสำคัญ แต่ข่าวดีก็คือคุณยังสามารถลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้ด้วยเงินทุนเล็กน้อยในรูปของ ETF REIT
สำหรับผู้ที่ไม่ทราบ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หรือเรียกง่ายๆ REIT จะถือพอร์ตอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งอาจเน้นไปที่ภาคส่วนเฉพาะ เช่น ในอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ ห้องชุดเพื่อพักอาศัยหรือร้านค้าใหญ่ๆ ตามชานเมือง ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ในฐานะนักลงทุน REIT คุณจะสามารถสร้างรายได้เช่นเดียวกับการซื้อบ้าน
กล่าวคือคุณจะได้รับค่าเช่ารายเดือน นอกจากนี้คุณยังจะได้กำไรเมื่อมูลค่าของ REIT เพิ่มขึ้นซึ่งมันจะเกิดขึ้นหากอสังหาริมทรัพย์ที่คุณเป็นเจ้าของมีมูลค่าเพิ่มขึ้น หากสิ่งนี้น่าสนใจสำหรับเป้าหมายการลงทุนระยะยาวของคุณ เราแนะนำ ETF REIT ของ iShares Core U.S.
5. ETF SPDR Dow Jones Industrial Average – ETF ที่ดีที่สุดในประเทศไทยสำหรับลงทุนในดัชนี Dow Jones
ETF ตัวนี้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในดัชนี Dow Jones และสำหรับผู้ที่ไม่ทราบ Dow Jones นั้นคือดัชนีตลาดหุ้นที่ประกอบด้วยบริษัทอเมริกันขนาดใหญ่ 30 แห่ง บริษัทเหล่านี้มาจากหลากหลายภาคส่วนและดัชนีเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการวัดความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐในวงกว้าง
บริษัทเหล่านี้รวมถึงบริษัทอย่าง Microsoft, SalesForce, Visa, Goldman Sachs, Home Depot และ United Health Group ที่ดีที่สุดคือ 30 บริษัทใน Dow Jones ไม่เพียงแต่มีอิทธิพลสูงสุดภาคส่วนของตนเท่านั้น แต่ทุกบริษัทยังจ่ายเงินปันผลอีกด้วย
ตั้งค่าบัญชีกับ Libertex และเริ่มลงทุนได้ง่ายมากวันนี้
6. ETF พันธบัตรระยะสั้น Vanguard – ETF ที่ดีที่สุดที่จะซื้อเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากตลาดหุ้นที่ไม่แน่นอน
ตลาดหุ้นในวงกว้างอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นมาตั้งแต่ปี 2009 ซึ่งหมายความว่าตอนนี้เราอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือ ‘Bull Run’ ที่ยาวนานที่สุดเป็นเวลาเกือบครึ่งศตวรรษ ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงเชื่อว่าอีกไม่นานจะมีการปรับเปลี่ยนฐานตลาดครั้งต่อไปจะเข้ามามีบทบาท พูดให้เข้าใจง่ายๆ หมายความว่าตลาดหุ้นจะอยู่ในช่วงขาลงเป็นเวลาหลายเดือนหรืออาจจะหลายปี
ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนนี้ จึงควรพิจารณากลยุทธ์การลงทุนแบบป้องกันความเสี่ยงและวิธีที่ดีที่สุดอีกวิธีหนึ่งที่ควรค่าแก่การพิจารณาคือ ETF พันธบัตรระยะสั้น Vanguard ETF ตัวนี้ลงทุนในหนี้ระยะสั้นซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นไปที่พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯที่มีอายุ 1-5 ปี และ ETF บางตัวก็ประกอบด้วยพันธบัตรจากบริษัทใหญ่ๆ
ถึงอย่างนั้นผลตอบแทนของพันธบัตรที่ถือโดย ETF พันธบัตรระยะสั้นของ Vanguard นั้นเล็กน้อยมาก นั่นหมายความว่าคุณจะโชคดีมากที่จะสามารถเอาชนะอัตราเงินเฟ้อได้ แต่อย่างไรก็ตามคุณก็สามารถนำเงินของคุณไปไว้ในเครื่องมือในการลงทุนที่ปลอดภัยและมั่นคงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ที่สำคัญเลยก็คือนี่ไม่ใช่ ETF สำหรับการลงทุนในระยะยาว
แต่เป็นอีกวิธีที่จะนำเงินลงทุนของคุณออกจากตลาดหุ้นจนกว่าตลาดจะอยู่ในช่วงขาขึ้นเต็มกำลัง และเมื่อเป็นเช่นนั้น คุณก็เพียงแค่นำเงินของคุณออกมาจาก ETF พันธบัตรระยะสั้นของ Vanguard และใส่มันกลับเข้าไปสู่ตลาดหุ้นอีกครั้ง
เพียงแต่คราวนี้คุณต้องไม่ซื้อหุ้นที่คุณเลือกในราคาที่สูงเกินจริง แต่คุณจะกลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้งก็ต่อเมื่อหุ้นจำนวนมากมีแนวโน้มที่จะถูกมีราคาต่ำกว่าราคาประเมิน
7. ETF Vanguard Growth Index Fund – ETF ที่ดีที่สุดในประเทศไทยสำหรับลงทุนหุ้นเติบโตเร็ว
หุ้นเติบโตเร็วนั้นเป็นที่ต้องการอย่างมากในหมู่นักลงทุนในประเทศไทยที่ต้องการกำหนดเป้าหมายผลกำไรที่สูงกว่าค่าเลเวอเรจ และพร้อมที่จะรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพื่อจะไปถึงเป้าหมาย แต่อย่างไรก็ตามคุณสามารถลดความเสี่ยงในภาคนี้ลงได้อย่างมาก โดยการลงทุนใน ETF ที่เน้นเฉพาะหุ้นเติบโตเร็วที่ดีที่สุดในตลาด
ด้วยความเหนือกว่าของ ETF Vanguard Growth Index Fund คือมันจะช่วยให้คุณเข้าถึงหุ้นเติบโตเร็วมากกว่า 250 ตัวจากหลากหลายภาคส่วน นี่จึงทำให้ ETF ตัวนี้สามารถถ่วงน้ำหนักของหุ้นที่มันถือครองอยู่ 10 อันดับแรกด้วยการจัดสรรทั้งหมดถึง 47% ซึ่งรวมไปถึง Apple, Microsoft, Amazon, Google, Facebook, Tesla, Visa, NVIDIA, Home Depot และ MasterCard
อย่างที่คุณอาจทราบว่าหุ้นหลายตัวดังกล่าวมีผลการดำเนินงานอย่างดีเยี่ยมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อย่างที่ทราบ มีหลายคนที่ได้ผลกำไรเป็นสองหรือสามเท่าจากปี 2020 เพียงปีเดียว ซึ่งในแง่ของวิธีการดำเนินงานของ ETF ตัวนี้โดยเฉพาะ ผลตอบแทนในช่วงห้าปีที่ผ่านมานั้นถือเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง
ตัวอย่างเช่น ในช่วงห้าปีก่อนที่บทความนี้จะถูกเขียนขึ้น กองทุน ETF Growth Index Fund ของ Vanguard นั้นมีราคาเพียง $102 ต่อหุ้น ลองมาดูในต้นปี 2024 นี้ ETF เดียวกันนั้นเองมีการซื้อขายที่ $256 ต่อหุ้น ซึ่งแปลว่าผลตอบแทนในห้าปีนั้นมากกว่า 150% และเหนือสิ่งอื่นใดก็คืออัตราส่วนค่าใช้จ่ายของ ETF ที่ติดอันดับยอดนิยมตัวนี้ มีค่าใช้จ่ายเพียงแค่ที่ 0.04% ต่อปี
8. ETF FTSE All-World UCITS – ETF ที่ดีที่สุดในประเทศไทยสำหรับพอร์ตหุ้นระดับโลก
ในขณะที่ ETF จำนวนมากที่เรากล่าวถึงก่อนหน้านี้เน้นไปที่หุ้นที่จดทะเบียนในประเทศไทยและในสหรัฐอเมริกา แต่พวกคุณบางคนอาจต้องการเปิดสถานะกับตลาดระดับโลก หากเป็นแบบนี้ก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่า ETF FTSE All-World UCITS สรุปสั้นๆ เลยคือ ETF ตัวนี้จะช่วยให้คุณเข้าถึงหุ้นมากกว่า 3,500 ตัวจากภาวะเศรษฐกิจหลากหลายแห่ง
แม้ว่าจะครอบคลุมบริษัทที่อยู่ในประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาแล้ว แต่คุณก็ยังสามารถลงทุนในบริษัทที่ตั้งอยู่ในประเทศญี่ปุ่น จีน ฝรั่งเศสสวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรเลีย แคนาดา เยอรมนี ไต้หวันและประเทศอื่นๆ ได้ นี่ครอบคลุมไปถึงอุตสาหกรรมที่มีน้ำหนักสมดุลอื่นๆ ซึ่งครอบคลุมทุกอย่างตั้งแต่อุตสาหกรรมพลังงาน วัสดุและการจัดการสุขภาพไปจนถึงอุตสาหกรรมการเงิน เทคโนโลยีและการสื่อสารโทรคมนาคม
9. ETF กองทุนน้ำมันสหรัฐฯ – ETF ที่ดีที่สุดที่เพื่อลงทุนในราคาน้ำมัน
หากคุณกำลังมองหาระดับสินทรัพย์ทางเลือกที่มีประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยม – ทำไมไม่ลองพิจารณาน้ำมันดูล่ะ มันไม่มีข้อกำหนดใดๆ ให้คุณต้องกังวลเกี่ยวกับการจัดเก็บหรือขนส่งถังน้ำมันขนาดใหญ่เพื่อที่จะเข้าถึงตลาดน้ำมันนี้ ในทางตรงกันข้ามคุณสามารถลงทุนในน้ำมันแบบอ้อมๆ ผ่าน ETF
ตัวเลือกที่ดีที่สุดในทางเลือกนี้คือ ETF กองทุนน้ำมันสหรัฐฯ ซึ่งมันพยายามตามราคาน้ำมันดิบ West Texas Intermediate (WTI) อยู่ สำหรับผู้ที่ไม่ทราบ นี่คือเกณฑ์มาตรฐานน้ำมันหลักในสหรัฐอเมริกา พูดง่ายๆ ก็คือ หากราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มขึ้น ETF กองทุนน้ำมันสหรัฐฯก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
อย่างที่ทราบกันดีว่าราคาน้ำมันหล่นลงแตะระดับราคาต่ำที่สุดในช่วงต้นปี 2020 ซึ่งเป็นช่วงที่ไวรัสโคโรนาเกิดการแพร่ระบาดเป็นครั้งแรก แต่ในช่วงประมาณ 11 เดือนที่ผ่านมา น้ำมันนั้นอยู่ในช่วงขาขึ้น ตามที่เห็นได้ชัดจากราคา ETF กองทุนน้ำมันสหรัฐฯ
ตัวอย่างเช่น คุณจะต้องจ่าย $17 ในช่วงปลายเดือนเมษายนปี 2020 ในตอนที่เขียนบทความนี้ในเดือนมีนาคมปี 2024 ETF ตัวเดียวกันนั้นกำลังซื้อขายในราคาที่สูงถึง $40 ซึ่งหมายความว่าภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งปี ETF กองทุนน้ำมันสหรัฐฯ ทำกำไรได้มากกว่า 135% หากคุณชอบ ETF ตัวนี้ คุณสามารถเข้าและออกจากตำแหน่งของคุณได้ตลอดเวลาในเวลาทำการตลาดมาตรฐาน
10. ETF หุ้นปันผลสูงของ iShares Core – ETF ที่ดีที่สุดในประเทศไทยสำหรับหุ้นปันผลที่มั่นคง
สำหรับนักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยงในประเทศไทยมักจะสร้างพอร์ตหุ้นปันผลคุณภาพสูงที่มีความหลากหลาย ซึ่งนี่เป็นการปูทางไปสู่การได้กำไรอย่างช้าๆ และมั่นคง ควบคู่ไปกับได้เงินปันผลตามปกติ แต่ทำไมจะต้องซื้อซื้อหุ้นปันผลเพียงไม่กี่ตัวในเมื่อคุณสามารถลงทุนในหุ้นปันผลมากกว่า 75 ตัวผ่าน ETF
ETF หุ้นปันผลสูง ของ iShares Core นั้นไม่เพียงแต่เน้นไปที่บริษัทที่จ่ายเงินปันผลเท่านั้นแต่ยังเป็นเน้นไปที่บริษัทที่มีประวัติยาวนานในตลาดหลักทรัพย์อีกด้วย นี่จะช่วยให้คุณสามารถลงทุนในแบบที่คุณสามารถคาดเดาได้มากขึ้นเพราะคุณกำลังสนับสนุนบริษัทอย่าง Johnson & Johnson, Procter & Gamble, Exxon Mobile, Chevron และ Cisco
อย่างที่คุณอาจจะทราบมาว่าบริษัทที่กล่าวมานั้นได้จ่ายเงินปันผลต่อเนื่องมาหลายสิบปีแล้ว และเช่นเคย ETF จะรวบรวมเงินปันผลตลอดทั้งเดือนและทำการจ่ายปันผลครั้งเดียวเป็นรายไตรมาส ซึ่งคุณยังมีโอกาสทำเงินเมื่อมูลค่าของหุ้น 75 ตัวที่ ETF ถือครองนั้นมีมูลค่าสูงขึ้น
วิธีการเลือก ETF ที่ดีที่สุดในการลงทุน
เราได้กล่าวถึงการลงทุน ETF ที่ดีที่สุดในประเทศไทย 10 ตัวที่ควรค่าแก่พิจารณาในปี 2024 แต่ถึงอย่างไรก็ตามมันยังมี ETF อีกหลายพันตัวที่คุณสามารถลงทุนได้จากประเทศไทยซึ่งหมายความว่าคุณควรทำการศึกษาด้วยตนเองให้ดีที่สุด
มีมาตรวัดหลักหลายตัวที่จะช่วยให้คุณสามารถค้นหา ETF ที่เหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงินของคุณ ซึ่งเราได้อธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมด้านล่างนี้
ระดับสินทรัพย์
ก่อนอื่นลองย้อนกลับไปพิจารณาประเภทของสินทรัพย์ที่คุณอยากเปิดสถานะด้วย ใน ETF 10 ตัวที่เราพูดถึงก่อนหน้านี้ ซึ่งเราได้ครอบคลุมในระดับการลงทุนที่หลากหลาย
นี่เพื่อแสดงให้เห็นว่าตลาด ETF มีความหลากหลายเพียงใด ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการลงทุนในกองทุนตามตลาดหุ้นเฉพาะ เช่น FTSE 100, FTSE 250, Dow Jones, S&P 500 หรือ NASDAQ ซึ่งมันมีผู้ให้บริการ ETF มากมายให้คุณเลือก หุ้นเหล่านี้ครอบคลุมถึงหุ้นอย่าง ETFs Vanguard, iShares, Invesco, BlackRock, SDPR และอื่นๆ อีกมากมาย
หรือคุณอาจพิจารณาช่องทางเฉพาะในสังเวียนที่คล้ายๆ กัน เช่น หุ้นเติบโตเร็ว หุ้นปันผลหรือหุ้นขนาดเล็ก นอกเรื่องหลักทรัพย์และหุ้นแล้ว ยังมี ETF ที่สามารถตามสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ เช่น ETF ทองคำหรือแร่เงิน ETF ลิเธียม และน้ำมัน และรวมถึงตราสารจากรัฐบาลและบริษัทต่างๆ
ผลตอบแทนที่เป็นไปได้
เมื่อคุณรู้แล้วว่าคุณต้องการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใด ต่อไปคือคุณต้องคิดถึงเป้าหมายระยะยาวของคุณ ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการตามผลตอบแทนของตลาดที่สูงกว่าค่าเลเวอเรจ คุณอาจจะเหมาะกับ ETF ที่ตามหุ้นเติบโตเร็ว พันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนสูงหรือตลาดตราสารทุนที่มีความผันผวนมาก
หรือหากคุณต้องการใช้แนวทางที่เรียบง่ายกว่านั้นในการจัดการกับความเสี่ยงและผลตอบแทน คุณอาจจะต้องการเน้นไปที่ ETF ที่ลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า ซึ่งอาจจะเป็น ETF REIT ที่ตามอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาและประเทศไทยหรือ ETF ที่เน้นไปที่เงินคลังของสหรัฐฯ วิธีหาผลตอบแทนที่เป็นไปได้ของคุณคือ ต้องดูจากผลการดำเนินงานในอดีตของ ETF ที่คุณสนใจ ซึ่งอาจจะเป็นในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา
ความเสี่ยง
พูดง่ายๆ ก็คือ ยิ่งคุณแสวงหาผลตอบแทนทางการเงินจากการลงทุน ETF มากเท่าไหร่ คุณก็ควรเตรียมพร้อมรับความเสี่ยงมากขึ้นเท่านั้น นี่คือความเป็นไปของความเสี่ยงและผลตอบแทบแบบดั้งเดิม
ปริมาณความเสี่ยงที่คุณสามารถรับได้นั้น ท้ายที่สุดแล้วจะขึ้นอยู่กับประเภทของตราสารและตลาดทางการเงินของ ETF ที่คุณเลือกตาม ตัวอย่างเช่น ETF ที่ตามหุ้นเติบโตเร็วจะมีความเหมาะสมมากกว่า ETF ที่ลงทุนในเงินคลังของสหรัฐฯ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของการลงทุนในหุ้นเติบโตเร็วนั้นก็มีสูงมากเช่นเดียวกัน
ที่สำคัญถึงแม้ว่า ETF จะช่วยให้คุณลงทุนในตะกร้าสินทรัพย์ที่หลากหลาย แต่มันก็ยังมีโอกาสที่คุณอาจจะขาดทุนได้ ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าคุณมีความเข้าใจอย่างเที่ยงแท้ว่าตัวคุณนั้นสามารถรับความเสี่ยงได้มากขนาดไหน
เศรษฐกิจ
การพิจารณาเศรษฐกิจและตลาดที่คุณต้องการลงทุนเป็นความคิดที่ดีทีเดียว ตัวอย่างเช่น หากคุณรู้สึกว่าเศรษฐกิจในประเทศไทยในวงกว้างกำลังเป็นไปในแบบของตลาดกระทิง คุณจะเหมาะกับ ETF ที่ตาม FTSE 100 ที่สุด แต่หากคุณสนใจในตลาดในสหรัฐอเมริกาแล้ว ETF ที่ตาม S&P 500 จะเหมาะกับคุณมากที่สุด
ด้วยเหตุนี้หากคุณสามารถรับความเสี่ยงสูงขึ้นได้อีกเล็กน้อย คุณก็สามารถลงทุนในระบบเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ (ตลาดกำลังพัฒนา) ได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ETF FTSE All-World UCITS ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงเศรษฐกิจโลกที่เติบโตเร็วที่สุดในทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงทุกประเทศตั้งแต่แอฟริกาใต้ บราซิล อินเดียจีน ไทยและไต้หวัน
ที่สำคัญคือการพยายามลงทุนในตลาดที่มีความหลากหลายเหล่านี้ตามพื้นฐานการลงทุนแบบ DIY เป็นสิ่งที่น่าท้าทายมากในฐานะนักลงทุนรายย่อย และนี่คือเหตุผลที่ทำไม ETF ถึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่มีอยู่ เนื่องจากคุณสามารถลงทุนในหุ้นเกิดใหม่หลายร้อยตัวผ่านการซื้อขายเพียงครั้งเดียว!
รายได้หรือการเติบโต
นี่เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ต้องเข้าใจว่า คุณจะวางแผนการสร้างกำไรจากการลงทุน ETF ได้อย่างไร ตัวอย่างเช่น ETF ทั้งหมดถูกจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สาธารณะซึ่งหมายความว่ามูลค่าของพวกมันจะเพิ่มขึ้นและลดลงตลอดทั้งวัน นี่จะเป็นประโยชน์ต่อคุณหาก NAV (มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ) ของ ETF นั้นเพิ่มขึ้น
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากมูลค่าของสินทรัพย์ที่ ETF ของคุณถืออยู่มีการดำเนินงานโดยรวมที่ดี ราคาหุ้นของ ETF ก็จะเป็นเช่นเดียวกันกับสินทรัพย์เหล่านั้น และหากเป็นเช่นนั้นคุณจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเมื่อคุณจะถอนทุนออก ด้วยเหตุนี้ ETF บางตัวก็เป็นที่น่าพอใจหากต้องการจะใช้มันสำหรับการสร้างรายได้ประจำ
นี่รวมไปถึง ETF ที่ตาม REITs หุ้นปันผลและพันธบัตรอีกด้วย ส่วนใหญ่การจ่ายเงินปันผลของคุณจะถูกแจกจ่ายในทุกๆ สามเดือน แต่อย่างไรก็ตาม ETF บางตัว เช่น ตัวที่ตามสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ เช่น ทองคำและน้ำมัน มันไม่ได้จะให้ผลตอบแทนใดๆ แต่คุณจะทำเงินได้ก็ต่อเมื่อสินทรัพย์ดังกล่าวมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเท่านั้น
ประเภทของ ETF
รายชื่อ ETF ที่นิยมลงทุนมากที่สุดในตลาดประเทศไทยดังนี้:
- ETF ทองคำ
- ETF แร่เงิน
- ETF Vanguard
- ETF iShares
- ETF น้ำมัน
- ETF พันธบัตรของประเทศไทย
- ETF ลิเธียม
- ETF ด้านเทคโนโลยี
- ETF SPDR
แพลตฟอร์มการลงทุน ETF ที่ดีที่สุด 2024
ถึงตรงนี้ เราได้อธิบายถึงสิ่งที่คุณควรระวังในการเลือก ETF ที่เหมาะสมกับการเงินของคุณ ตอนนี้เรามาพูดถึงเรื่องแพลตฟอร์มการซื้อขาย พูดง่ายๆ คือ ในการที่จะลงทุนใน ETF คุณจะต้องหาเว็บไซต์โบรกเกอร์ที่เหมาะสมก่อน การเลือกโบรกเกอร์ของคุณนั้น ไม่ควรมุ่งเน้นเพียงว่ามันมีบริการ ETF ที่คุณเลือกเท่านั้นแต่ต้องดูที่การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าคอมมิชชั่นด้วย
เพื่อช่วยชี้ทางให้คุณไปในทางที่ถูกต้อง – ด้านล่างนี้เราจะพูดถึงโบรกเกอร์สำหรับการลงทุน ETF ที่ดีที่สุดในประเทศไทย
1. Libertex – ผู้ให้บริการ CFD ETF ด้วยสเปรดที่เป็นศูนย์
Libertex มอบข้อเสนอที่ไม่ซ้ำใครสำหรับการซื้อขาย ETF CFD แทนที่จะเรียกเก็บค่าสเปรด (ความแตกต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขาย) แต่กลับคิดค่าคอมมิชชั่นเล็กน้อยจากการซื้อและขายเท่านั้น
ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถซื้อขายในตลาดทั่วโลกมากกว่า 200 แห่งซึ่งครอบคลุมถึง ETF หลักทรัพย์ สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนี สกุลเงินดิจิทัลและอื่นๆ อีกมากมายโดยไม่มีค่าสเปรด! นอกจากนี้ยังมีส่วนลดค่าคอมมิชชั่น 50% จากที่มีการแข่งขันสูงกันอยู่แล้ว
แพลตฟอร์มการซื้อขายบนเว็บของโบรกเกอร์นั้นใช้งานง่ายและมาพร้อมกับคุณสมบัติพิเศษอีกมากมาย นอกเหนือจากนั้น โบรกเกอร์นี้ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของ CySEC อีกด้วย
ข้อดี:
- ควบคุมโดย CySEC
- เทรดด้วยสเปรดเป็นศูนย์!
- เข้าถึงสินทรัพย์หลายประเภท
- ซื้อขายด้วยส่วนลดค่าคอมมิชชั่น 50%
- แพลตฟอร์มบนเว็บการเทรดที่ใช้งานง่าย
- เป็นแหล่งเนื้อหาเพื่อการศึกษาเรียนรู้ที่ดี
ข้อด้อย:
- มีเฉพาะ CFD
70.8% ของบัญชีนักเทรดรายย่อยสูญเสียเงินเมื่อทำการเทรด CFDs กับทางแพลตฟอร์มนี้
2. AvaTrade - แพลตฟอร์มการซื้อขาย ETF ขนาดใหญ่
AvaTrade เป็นโบรกเกอร์ที่อยู่ภายใต้ควบคุมโดยเขตอำนาจศาลที่แตกต่างกันใน 6 แห่งทั่วโลก ด้วยโบรกเกอร์นี้ คุณสามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มการซื้อขาย ETF และประเภทบัญชีที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึงบัญชีการเดิมพันสเปรด, บัญชีการซื้อขาย CFD, บัญชีการซื้อขายออปชั่นและบัญชีการซื้อขายไม่มีสวอปแบบอิสลาม
โบรกเกอร์ยังเสนอแพลตฟอร์มการซื้อขาย MetaTrader 4 และ MetaTrader 5 ที่เป็นที่นิยม ซึ่งใช้งานง่ายและช่วยให้คุณได้ทำการวิเคราะห์ทางเทคนิคเกี่ยวกับ ETF หลากหลายแบบ
อย่างไรก็ตาม คุณสามารถซื้อขายในตลาดมากกว่า 1,250 แห่งทั่วโลก ซึ่งครอบคลุมถึง ETF สกุลเงิน ดัชนี หลักทรัพย์ สินค้าโภคภัณฑ์และสกุลเงินดิจิทัลจากแพลตฟอร์มการซื้อขายนี้โดยไม่มีค่าคอมมิชชั่น 100%!
การเปิดบัญชีนั้นก็เป็นเรื่องง่ายและคุณยังสามารถทำการฝากและถอนเงินโดยไม่มีค่าธรรมเนียมเช่นกัน
ข้อดี:
- ควบคุมโดยเขตอำนาจศาลที่แตกต่างกันใน 6 แห่ง
- แพลตฟอร์มการซื้อขาย MetaTrader 4 และ MetaTrader 5
- เข้าถึงตลาดมากกว่า 1,250 แห่งทั่วโลก
- ไม่มีค่าคอมมิชชั่น เพียงแค่สเปรดและสวอป
- ไม่มีค่าธรรมเนียมในการฝากหรือการถอน
ข้อด้อย:
- มีค่าธรรมเนียมหากไม่มีการใช้งาน
71% ของนักลงทุนรายย่อยสูญเสียเงินจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายส่วนต่างหรือ CFD ที่ไซต์นี้
3. Quantum AI – รับคำแนะนำการลงทุนจากคอมพิวเตอร์ควอนตัมเครื่องแรก
Quantum AI เป็นหุ่นยนต์การลงทุนแบบอัตโนมัติ และเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ควอนตัมเครื่องแรกของโลก เป็นซอฟต์แวร์ที่สแกนตลาดต่างๆ เพื่อค้นหาโอกาสการลงทุนที่ดีสำหรับคุณ ซึ่งสามารถให้ผลกำไรสูงถึง 60% ต่อวัน
Quantum AI มีแพลตฟอร์มของตัวเอง แต่เป็นซอฟต์แวร์ที่เป็นพันธมิตรกับโบรกเกอร์รายอื่น โมเดลที่ซับซ้อนของมันสร้างรายการสิ่งที่จะซื้อและขาย และสิ่งที่คุณต้องทำคือเลือกสิ่งที่คุณต้องการลงทุน
มันเป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับทั้งผู้เริ่มต้นและผู้ที่มีประสบการณ์ซึ่งไม่ต้องการใช้เวลามากเกินไปในการรวบรวมข้อมูลก่อนทำการซื้อขาย
ขั้นตอนการเปิดบัญชีนั้นง่ายมาก สิ่งที่คุณต้องทำคือใส่ข้อมูลส่วนบุคคลและแพลตฟอร์มจะเชื่อมต่อคุณกับพันธมิตรโดยอัตโนมัติ การฝากสามารถทำได้ด้วยบัตรเครดิต/เดบิต โดยมียอดขั้นต่ำ 220 ยูโร เหนือสิ่งอื่นใด Quantum AI ไม่คิดค่าธรรมเนียมในการใช้งานหรือการทำธุรกรรมใดๆ
สามารถดาวน์โหลด Quantum AI บนโทรศัพท์ของคุณหรือใช้จากเบราว์เซอร์บนคอมพิวเตอร์ของคุณ ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถซื้อขายได้ทุกที่ตราบใดที่คุณมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
หากคุณมีข้อสงสัยใดๆ การสนับสนุนของแพลตฟอร์มพร้อมให้บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านทางอีเมล
Quantum AI อาจฟังดูดีเกินกว่าจะผ่านได้ แต่หลังจากทำการรวบรวมข้อมูลอย่างละเอียดและทดลองด้วยตัวเอง เราพบว่ามันทำงานได้ดีทีเดียว Trustpilot ยังให้ 4.3 ดาวจากห้าดาว เนื่องจากหุ่นยนต์ยังค่อนข้างใหม่ และเนื่องจากเป็นคอมพิวเตอร์ควอนตัมเครื่องแรกของโลก จึงยังไม่มีการควบคุม นี่คือสิ่งที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต
เพื่อสรุป Quantum AI เราจะพูดถึงข้อดีข้อด้อย
ข้อดี:
- ติดตั้งง่าย
- ธุรกรรมที่ง่ายและรวดเร็ว
- ใช้งานฟรี
- คุณสามารถถอนเงินได้ตลอดเวลา
- บริการลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน
- ได้รับการวิจารณ์ที่ดี
- กำไรสูงถึง 60% ต่อวัน
- ควอนตัม AI แสดงรายการโอกาสการลงทุนที่แนะนำให้คุณ
- เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
ข้อด้อย:
- หาข้อมูลประวัติการทำงานได้ยาก
- เงินฝากเริ่มต้นสูง €220
- สามารถฝากเงินด้วยบัตรหรือโอนเงินผ่านธนาคารเท่านั้น
เงินทุนของคุณมีความเสี่ยง
วิธีซื้อ ETF ที่ดีที่สุดในประเทศไทย
เพื่อสรุปคำแนะนำของเราเกี่ยวกับ ETF ที่ดีที่สุดสำหรับปี 2024– เราจะแนะนำคุณตลอดในทุกขั้นตอนการลงทุนครั้งแรกของคุณ ขั้นตอนด้านล่างเป็นไปตาม Libertex ที่ให้คุณลงทุนโดยไม่เสียค่าธรรมเนียมใดๆ
ขั้นตอนที่ 1: เปิดบัญชีที่ Libertex เพื่อซื้อขาย ETF
คุณจะถูกขอให้ป้อนข้อมูลส่วนบุคคล รายละเอียดการติดต่อ และหมายเลขประกันของประเทศ คุณต้องสร้างชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านด้วย สุดท้าย ให้ยืนยันหมายเลขโทรศัพท์มือถือของคุณ
ขั้นตอนที่ 2: ดาวน์โหลดแอป Libertex (ไม่บังคับ)
การพิจารณาดาวน์โหลดแอปการลงทุน Libertex ก็คุ้มค่าเช่นกัน สิ่งนี้จะช่วยให้คุณซื้อและขาย ETF ได้ด้วยการคลิกปุ่มผ่านโทรศัพท์ของคุณ สิ่งที่คุณต้องทำคือดาวน์โหลดแอปและเข้าสู่ระบบด้วยข้อมูลประจำตัว Libertex ของคุณ!
ขั้นตอนที่ 3: ฝากเงิน
แม้ว่า Libertex จะอนุญาตให้คุณซื้อ ETF ในประเทศไทย ได้อย่างน้อย 10 ดอลลาร์ แต่คุณจะต้องฝากเงินอย่างน้อย 50 ดอลลาร์ คุณสามารถทำได้ทันทีด้วยบัตรเดบิต/เครดิตประจำวันของคุณ
นอกจากนี้ยังรองรับ E-wallets ซึ่งรวมถึง Paypal, Skrill และ Neteller คุณสามารถโอนเงินจากบัญชีธนาคารในประเทศไทย ได้หากต้องการ แต่เตรียมใจไว้เลยว่าจะต้องรอเป็นเวลาหลายวันกว่าเงินจะมาถึง
ขั้นตอนที่ 4: ทำการซื้อขาย ETF ครั้งแรกของคุณ
สำหรับการซื้อขาย บัญชีของคุณพร้อมแล้ว และคุณสามารถเริ่มการซื้อขาย Libertex ของคุณได้ การซื้อขายทั้งหมดสามารถทำได้โดยตรงบนแอพมือถือ Libertex หรือแพลตฟอร์มออนไลน์บนเดสก์ท็อป
สรุป
โดยสรุปคู่มือนี้ได้กล่าวถึง ETF ที่ดีที่สุด 10 อันดับแรกสำหรับปี 2024 ซึ่งเราได้ครอบคลุมตลาดที่หลากหลายตั้งแต่ FTSE 100, S&P 500 และทองคำจนไปถึงหุ้นเติบโตเร็ว น้ำมันและหุ้นเงินปันผล ในท้ายที่สุดแล้ว มันไม่มี ETF ตัวไหนที่เหมือนกัน ดังนั้นคุณจึงจำเป็นที่จะต้องทำการศึกษาหาความรู้ หากคุณพร้อมที่จะเริ่มการเดินทางในการลงทุน ETF ตอนนี้ Libertex จึงเป็นแพลตฟอร์มที่ดีที่ควรแก่พิจารณา สามารถซื้อขาย ETF ได้โดยไม่มีค่าคอมมิชชั่น มันง่ายมากที่จะเริ่มต้นใช้งาน!
70.8% ของบัญชีนักเทรดรายย่อยสูญเสียเงินเมื่อทำการเทรด CFDs กับทางแพลตฟอร์มนี้