Home การซื้อขายดัชนี ปี 2024 – คู่มือสำหรับผู้เริ่มต้นลงทุน
ประกิต ไชยสาร
ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว
ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว
ทุกสิ่งที่คุณอ่านบนเว็บไซต์ของเราจัดทำโดยนักเขียนผู้เชี่ยวชาญซึ่งมีประสบการณ์หลายปีในตลาดการเงินและเคยมีประสบการณ์เขียนงานให้กับสื่อด้านการเงินชั้นนำอื่นๆ ข้อมูลทุกชิ้นที่นี่ได้รับการตรวจสอบข้อเท็จจริง บางครั้งเราใช้ลิงค์พันธมิตรในเนื้อหาของเรา เมื่อคลิกที่ลิงค์เหล่านั้น เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่น - โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ การใช้เว็บไซต์นี้แสดงว่าคุณยอมรับข้อกำหนดและเงื่อนไขและนโยบายความเป็นส่วนตัวของเรา
การเปิดเผยข้อมูล
การเปิดเผยข้อมูล
ข้อมูลการลงทุนที่ให้ไว้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น แพลตฟอร์มการซื้อขายไม่มีบริการให้คำปรึกษา และไม่ได้แนะนำหรือ แนะนำให้นักลงทุนซื้อหรือขายหุ้น หลักทรัพย์ หรือเครื่องมือการลงทุนอื่น ๆ ผลิตภัณฑ์บางส่วนหรือทั้งหมดที่แสดงในหน้านี้มาจากพันธมิตรนั้น ให้แก่เรา อาจส่งผลต่อผลิตภัณฑ์ที่เรากล่าวถึงและตำแหน่งของ สินค้าบนหน้าบทความ อย่างไรก็ตาม การรวบรวมข้อมูลและรีวิวของเราไม่ได้รับผลกระทบจาก พันธมิตร

ในคู่มือนี้เราจะอธิบายถึงความสำคัญของการซื้อขายดัชนี และเพราะเหตุใดดัชนีเหล่านี้จึงเป็นวิธีที่สะดวกในการเข้าถึงการลงทุนของกลุ่มบริษัทลงทุนขนาดใหญ่ที่รวดเร็วและราคาถูกที่สุด

นอกจากนี้ เราจะยังแสดงให้เห็นว่าดัชนีหุ้นเหล่านี้สามารถใช้ประโยชน์ในการซื้อขายหุ้นของถูมิภาคของโลกที่มีเป็นเอกลักษณ์ของตลาดหุ้นแต่ละแห่งได้อย่างไร

สุดท้ายนี้เราได้รวบรวมแพลตฟอร์มการซื้อขายดัชนีที่ดีที่สุดสำหรับนักลงทุนรายใหม่และวิธีเริ่มต้นใช้งานในการซื้อขายครั้งแรกไว้ให้คุณได้ลองศึกษา

วิธีการซื้อขายดัชนีหุ้น– คู่คำแนะนำในแต่ละขั้นตอนสำหรับปี 2024

  1. เลือก Libertex แพลตฟอร์มซื้อขายที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งานมาก
  2. เปิดบัญชีบน Libertex
  3. ฝากเงินเข้าบัญชีของคุณ
  4. เลือกดัชนี้หุ้นที่คุณต้องการจากตัวเลือกที่หลากหลาย เช่น ดัชนี Dow Jones หรือ Nasdaq
  5. เลือกซื้อหรือขาย ในการซื้อขายดัชนีหุ้นนั้นสิ่งสำคัญคือต้องระบุจำนวน Stop Loss และ Take Profit ของคุณ โดยการลงทุนในดัชนีผ่าน CFD คุณสามารถซื้อขายโดยใช้เลเวอเรจสูงสุด 1: 100

70.8% ของบัญชีนักเทรดรายย่อยสูญเสียเงินเมื่อทำการเทรด CFDs กับทางแพลตฟอร์มนี้

 

ดัชนีคืออะไร?

ดัชนีหุ้นประกอบด้วยกลุ่มบริษัทที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่รวมมูลค่าของพวกเขาเข้าด้วยกันและแสดงในรูปของตัวเลขดัชนีที่เริ่มต้นที่ปีฐาน จากตัวอย่าง FTSE 100 เปิดตัวเมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2527 ด้วยมูลค่าเริ่มต้นที่ 1,000

ดัชนีหุ้นหลัก ๆ เช่น FTSE 100, FTSE 250 และ S&P 500 เริ่มต้นมาเพื่อช่วยให้นักลงทุนสามารถทำการเปรียบเทียบระหว่างหุ้นและระหว่างตลาดหุ้นต่าง ๆ ได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตามไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป ในปัจจุบันเป็นเรื่องง่ายสำหรับนักลงทุนรายย่อยที่จะได้รับความเสี่ยงจากมูลค่าของดัชนีหุ้นและได้รับประโยชน์จากทิศทางที่อาจมีการเคลื่อนไหวไม่ว่าจะสูงขึ้นหรือต่ำลง

ใครเป็นผู้สร้างดัชนีและใช้วิธีการใด

ดัชนีมักถูกสร้างขึ้นโดยผู้ให้บริการข้อมูลและหน่วยงานจัดอันดับซึ่งเป็นที่มาของชื่อเช่น FTSE โดย FT ย่อมาจาก Financial Times และ S&P 500 โดยที่ S&P ย่อมาจาก Stand & Poor’s the rating agency

ดัชนีมีระเบียบวิธีและกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดซึ่งควบคุมถึงวิธีการรวมของบริษัทที่เข้าร่วม ตัวอย่างเช่น FTSE 100 ประกอบด้วยบริษัทที่มีการซื้อขายในสาธารณะที่ใหญ่ที่สุด 100 แห่งในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนของสหราชอาณาจักร และ S&P 500 ซึ่งประกอบด้วยบริษัทที่มีการซื้อขายในสาธารณะที่ใหญ่ที่สุด 500 แห่งในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก อย่างไรก็ตามยังมีกฎเกณฑ์อื่น ๆ ที่บริษัทนั้น ๆ ต้องปฏิบัติตามนอกเหนือจากขนาดของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเช่น สภาพคล่องและระยะเวลาที่ซื้อขายในขนาดที่กำหนด ในประเด็นสุดท้ายนั้นไม่รวมถึงหุ้นหนึ่งในสี่เท่านั้นที่จะค้นพบในครั้งต่อไปที่มูลค่าลดลงจนถึงขนาดที่ไม่เป็นไปตามเกณฑ์มูลค่าตลาดอีกต่อไป

อย่างไรก็ตามดัชนีทั้งหมดไม่ได้มีการถ่วงน้ำหนักตามราคาตลาดเสมอไป DJIA คือราคาถ่วงน้ำหนัก หมายความว่าองค์ประกอบต่างๆจะถูกเลือกตามราคาหุ้นของพวกเขา โดย FTSE 100 และ DAX 30 ของเยอรมันเป็นตัวอย่างของดัชนีถ่วงน้ำหนักตามราคาตลาด

ประเภทของดัชนีการซื้อขายและการลงทุน

มีหลายวิธีในการเข้าถึงดัชนีทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเครื่องมือทางการเงินที่คุณพึงพอใจและจำนวนความเสี่ยงที่คุณสามารถรับได้

กองทุนดัชนี

Index funds สามารถเป็นได้ทั้งกองทุนรวมหรือรวมถึงกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนแค่บางส่วน โดยในรูปแบบกองทุนรวมเป็นเครื่องมือการลงทุนร่วมกัน ซึ่งเงินของนักลงทุนจะถูกรวบรวมเพื่อลงทุนในบริษัททั้งหมดที่ประกอบขึ้นเป็นดัชนี

กองทุนรวมประเภทนี้รู้จักกันในชื่อแทรคเกอร์ แต่ในปัจจุบันมักเรียกกันว่ากองทุนดัชนี พวกเขาไม่ได้จำกัดเฉพาะดัชนีหุ้นเท่านั้น เพียงแต่ในคู่มือนี้เรามุ่งเน้นไปที่หุ้น

กองทุนรวมจะติดตามดัชนีหุ้นผ่านการซื้อขายหุ้นของแต่ละบริษัทที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีหุ้นนั้น ๆ หากดัชนีหุ้นมีองค์ประกอบจำนวนมากเกินไปเช่น หุ้นของสหรัฐฯที่มีดัชนีขนาดเล็กที่ Russell 2000 หรือ Russell 3000 ก็อาจมีการสุ่มตัวอย่างดัชนีแทน ในกรณีเช่นนี้กองทุนรวมจะซื้อหุ้นตัวอย่างที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในอดีตเพื่อสะท้อนถึงประสิทธิภาพโดยรวมของดัชนี

โดยทั่วไปกองทุนดัชนีจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมกับนักลงทุนในภูมิภาค 0.25% ถึง 0.85% นั่นอาจดูเหมือนไม่มากนักและแน่นอนว่าเป็นจำนวนที่น้อยกว่าที่คุณคาดว่าต้องจ่ายให้กับกองทุนรวมที่มีการจัดการอย่างแข็งขัน แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังมีผลตอบแทนจากการให้บริการจากผลการทบต้นของการลงทุน โดย Vanguard ซึ่งเป็นกลุ่มการลงทุนของสหรัฐอเมริกาได้สร้างชื่อเสียงในฐานะผู้บุกเบิกกองทุนดัชนีและจัดหาผลิตภัณฑ์ที่ถูกที่สุดและเป็นที่นิยมมากที่สุดในตลาดกองทุนดัชนี

กองทุนดัชนีจะมีการจัดเรียงออกหน่วยการลงทุนใหม่ เมื่อนักลงทุนซื้อเข้ากองทุนพวกเขาไม่ได้ซื้อขายในตลาดหุ้นในลักษณะเดียวกับที่คุณจะซื้อหุ้น แต่จะมีการกำหนดราคาเพียงวันละครั้ง เมื่อคุณต้องการออกจากการลงทุนในกองทุนรวมคุณจะต้องไถ่ถอนหน่วยของคุณ ซึ่งหมายความว่าผู้จัดการกองทุนจะลบหน่วยกองทุนของคุณและคืนเงินสดให้กับนักลงทุนตามมูลค่าของหน่วยที่เป็นเจ้าของ

Exchange Traded Fund (กองทุนรวมอีทีเอฟ)

กองทุนรวมอีทีเอฟ เป็นกองทุนรวม (Mutual Fund) ประเภทหนึ่ง คล้ายคลึงกับกองทุนรวมตรงที่พวกเขาติดตามราคาของสินทรัพย์อ้างอิงหรือตะกร้าสินทรัพย์ซึ่งมักแสดงค่าในรูปแบบดัชนี แต่ก็ยังมีความแตกต่างจากดัชนีกองทุนรวมอยู่ โดยการซื้อขาย ETF ในตลาดจะเหมือนหุ้นทั่วไป มีราคาที่เคลื่อนไหวตลอดเวลาตามเวลาจริงที่สัมพันธ์กับอุปสงค์และอุปทานของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย

ETF ได้รับความนิยมอย่างมากจากนักลงทุนรายย่อย เนื่องจากมีราคาที่ถูกและมีความยืดหยุ่นสูงในการเข้าถึงดัชนีหุ้นและสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ ซึ่ง ETF นั้นมีค่ารใช้จ่ายถูกกว่ากองทุนดัชนีด้วยซ้ำ มีค่าธรรมเนียมอยู่ในช่วงประมาณ 3% ถึง 4.5%

Contract for Difference (สัญญาซื้อขายส่วนต่าง)

สัญญาซื้อขายส่วนต่าง หรือ CFD เป็นตราสารอนุพันธ์รูปแบบหนึ่งที่สร้างขึ้นโดยสถาบันการเงิน ซึ่งคู่สัญญาตกลงที่จะจ่ายส่วนต่างระหว่างราคาเมื่อเปิดและปิดการซื้อขาย

ตราสารอนุพันธ์และโบรกเกอร์ CFD ที่ให้บริการเป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนในไทย และมีโบรกเกอร์จำนวนมากมายที่เชี่ยวชาญในผลิตภัณฑ์เหล่านี้ โดย CFD สามารถใช้ในสินทรัพย์ทางการเงินทุกประเภทไม่ใช่เฉพาะดัชนีหุ้น แต่มันก็มีความเสี่ยงสูงกว่า ETF

หรือกองทุนรวมเนื่องจากวิธีการทำงานของมันซึ่งหมายความว่ามีหากคุณถือไว้เป็นเวลานานจะมีค่าใช้จ่ายที่แพง เนื่องจากค่าธรรมเนียมค้างคืนที่เรียกเก็บโดยผู้ออกหุ้นสำหรับการเปิดสถานะคำสั่งของผู้ถือ

อย่างไรก็ตามเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่รวดเร็ว CFD จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีวัตถุประสงค์ในการซื้อขายรายวัน – ดูข้อมูลเพิ่มเติมด้านล่างในส่วนของกลยุทธ์การซื้อขาย โดยดัชนี CFD ที่จะช่วยให้คุณสามารถทำกำไรจากทั้งการซื้อและขายดัชนีได้ กล่าวคือหากราคาสูงขึ้นคุณจะได้รับประโยชน์ แต่คุณสามารขายได้โดยทันทีหากดัชนีมีมูลค่าลดลงซึ่งนั้นก็จะทำให้คุณจะได้รับประโยชน์เช่นกัน

ออปชันและฟิวเจอร์ส

สัญญาซื้อขายล่วงหน้าแบบออปชั่นนั้นมีการมอบสิทธิแก่เจ้าของ แต่ผูกมัดในการซื้อสินทรัพย์ในราคาที่กำหนด ในอดีตตราสารอนุพันธ์เหล่านี้รู้จักกันในหมู่เทรดเดอร์มืออาชีพและสถาบันทางการเงิน แต่ตอนนี้เป็นที่นิยมแพร่หลายมากขึ้นโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา

การซื้อขายออปชันในไทยคุณจะต้องตอบแบบสอบถามให้ถูกต้องเพื่อแสดงว่าคุณเข้าใจวิธีการทำงานและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ฟิวเจอร์สมีความคล้ายคลึงกับออปชั่น ยกเว้นว่าเป็นสิทธิแต่ไม่ใช่ข้อผูกมัดในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ โดยฟิวเจอร์สกำหนดให้ผู้ถือสัญญาจะต้องดำเนินการส่งมอบผลิตภัณฑ์ (เว้นแต่จะมีการชำระด้วยเงินสด) เว้นแต่จะมีการปิดสัญญาก่อน หมดอายุ แต่อย่างไรก็ตามออปชั่นนั้นถือว่าเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากกว่า ดังนั้นมาดูกันว่าออปชั่นต่าง ๆ มีการทำงานอย่างไร

สัญญาของออปชั่นมีสองประเภท – การ call หรือ put หากคุณคาดว่าราคาหุ้นจะสูงขึ้นคุณจะซื้อโดย Call option และหากตรงกันข้ามคุณจะทำรายการ put

In The Money คืออะไร (ITM, Out of The Money (OTM) และ At The Money (ATM)?

คอลออปชั่นนั้นมีวันหมดอายุและ strike price ซึ่งแสดงถึงราคาที่ผู้ซื้อสามารถขายได้เมื่อหมดอายุ

หากราคาสูงขึ้นเหนือ strike price คอลออปชั่นนั้นจะถูกเรียกว่าเป็น In The Money (ITM) และหากราคายังไม่ขยับขึ้นเหนือ strike price นั่นแสดงว่าออปชั่นนั้นจะเป็น Out Of the Money (OTM) และไม่มีค่า หากสัญญาของ strike price เท่ากับสัญญาของ spot price จะเรียกออปชั่นนั้นว่า At The Money (ATM).

ออปชั่นมักจะมาในจำนวน 100 ลอต ดังนั้นสัญญาเพียงสัญญาเดียวสามารถให้สิทธิ์คุณในการซื้อหรือขายหุ้นได้ถึง 100 หุ้น ซึ่งหมายความว่าการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยของราคาหุ้นหรือดัชนีส่งผลอย่างมากสำหรับเจ้าของออปชั่น นอกจากนี้ความสามารถในการซื้อขายโดยใช้เลเวอเรจ (โดยใช้เงินกู้ยืมเพื่อขยายตำแหน่งการซื้อขาย)

การซื้อขายมาร์จิ้นอนุญาตให้ผู้ซื้อขายสามารถทำมาร์จิ้นคอลได้ โดยที่คุณต้องฝากเงินจำนวนมากขึ้นกับโบรกเกอร์เพื่อให้ครอบคลุมการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นหากสถานะเคลื่อนไหวของตลาดตรงกันข้ามกับการลงทุนของคุณ

Spread betting

การเดิมพันแบบกระจายเป็นอีกวิธีหนึ่งในการซื้อขายดัชนี ด้วยเครื่องมือนี้ผู้ซื้อขายจะวางเดิมพันจำนวนหนึ่งต่อแต่ละจุดของการเคลื่อนไหวในดัชนีอ้างอิง เช่นเดียวกับออปชั่นและ CFD (และบางอย่างเรียกว่า ETFs และกองทุนดัชนีผกผัน – ดูเพิ่มเติมในส่วนกลยุทธ์) ซึ่งช่วยให้คุณสามารถทำกำไรจากการซื้อขายได้

Spread betting นั้นมีความเสี่ยงมากกว่าออปชั่นหรือ CFD เพราะจำนวนเล็กน้อยต่อจุดนั้นสามารถเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหากดัชนีมีความผันผวน ดัชนีอาจตก 200 แต้ม ซึ่งหากคุณเดิมพัน 5 ปอนด์ต่อแต้ม นั้นจะทำให้ตัวเลขพอร์ตของคุณจะเป็นสีแดงในจำนวนถึง 1,000 ปอนด์ ทั้งนี้คุณสามารถจำกัดความเสี่ยงได้โดยการใช้ stop-losses ดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับ stop-losses ด้านล่าง

ข้อดีของการซื้อขายดัชนี

รวดเร็ว ง่าย และราคาถูก

ข้อได้เปรียบหลักของการซื้อขายดัชนีคือ การเข้าถึงการซื้อขายดัชนีทั้งหมดสามารถทำได้อย่างรวดเร็วด้วยขั้นตอนที่ง่ายและมีราคาถูก ขึ้นอยู่กับเครื่องมือที่คุณตัดสินใจใช้

ลองนึกดูว่าค่าธรรมเนียมในการซื้อหุ้นทุกตัวใน FTSE 100 นั้นจะมีค่ามากเท่าไหร่ แทนที่จะทำเช่นนั้นคุณสามารถการซื้อได้ด้วยคลิกเดียวเมื่อคุณใช้วิธีการซื้อขายดัชนี

การกระจายความเสี่ยง

ในการซื้อขายดัชนีนั้นจะช่วยให้นักลงทุนได้เข้าถึงตลาดหุ้นที่หลากหลายในทันที ซึ่งเป็นวิธีสำคัญในการลดความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน เนื่องจากในแต่ละดัชนีนั้นจะมีบริษัทที่หลากหลาย คุณจึงได้รับความเสี่ยงจากหุ้นแต่ละตัวที่ไม่เท่ากันซึ่งหมายความว่า เมื่อหุ้นลงไปตัวหนึ่ง อีกตัวหนึ่งอาจเพิ่มขึ้นเนื่องปัจจัยที่แตกต่างกันของภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่ดำเนินกิจการอยู่ ทำให้ความเสี่ยงจากการลงทุนเป็นลบนั้นลดลงด้วย

ความเสี่ยงในการซื้อขายดัชนี

ความเสี่ยงต่ำในการลงทุนระยะยาว

การลงทุนทิ้งไว้ในดัชนีหุ้นเป็นส่วนหนึ่งกลยุทธ์การลงทุนระยะยาว เป็นแนวทางที่มีความเสี่ยงต่ำเนื่องจากเมื่อเวลาผ่านไปการขาดทุนจากดัชนีนั้นมีทิศทางที่ค่อนต่ำ เพราะแท้จริงแล้วหุ้นเป็นกลุ่มสินทรัพย์หลักที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดในระยะยาว

การซื้อขายระยะสั้นมีความเสี่ยงมากกว่า

อย่างไรก็ตามการซื้อขายระยะสั้นนั้นจะแตกต่างจากการลงทุนระยะกลางและระยะยาว และมักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ ความเสี่ยงในการลงทุนระยะสั้นนี้อาจสูงขึ้นได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณไม่สามารถถือดัชนี้หุ้นจนกว่าราคาจะย้ายไปอยู่ในตำแหน่งที่ทำกำไรได้ หรือคุณไม่สามารถไปจนถึง Margin Call ได้ หรือตำแหน่งของคุณเปิดราคาไว้ไม่มี Stop Loss และดัชนีลดลงอย่างรวดเร็วทำให้คุณได้รับความสูญเสียจำนวนมาก

อีกครั้ง การปรับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับเครื่องมือที่คุณตัดสินใจใช้ในการซื้อขายดัชนีด้วย

สถานการณ์ที่ซับซ้อนและมีปัจจัยองค์ประกอบหลายอย่างเกี่ยวข้อง: การถ่วงน้ำหนัก, ภูมิภาคและสภาพแวดล้อมแบบมหภาค

ดัชนีสามารถขึ้นหรือลงได้ด้วยเหตุผลหลายประการและทำให้การตัดสินใจลงทุนในหุ้นแต่ละตัวนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ดัชนีแต่ละตัวมีลักษณะเฉพาะ ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการลงทุนใน S&P 500 ซึ่งมีหุ้นเทคโนโลยีจำนวนมาก (น้ำหนัก 28%) ในขณะที่หากคุณลงทุนใน FTSE 100 มีน้อยมาก (น้ำหนักเพียง 1.2%) โดย FTSE 100 ประกอบด้วย บริษัทข้ามชาติจำนวนมากที่มีรายได้ส่วนใหญ่เป็นดอลลาร์ซึ่งหมายความว่าเมื่อเงินบาทตกลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์มูลค่าการลงทุนของนักลงทุนที่อาศัยอยู่ในใทยในดัชนี FTSE 100 จะเพิ่มขึ้น (ดัชนีจะเพิ่มขึ้น)

เนื่องจากดัชนีหุ้นเป็นดัชนีเฉพาะประเทศ สภาพแวดล้อมมหภาคที่เกิดขึ้นในประเทศ (และทั่วโลก) จะสะท้อนให้เห็นในผลตอบแทนจากดัชนีตัวอย่างเช่น การว่างงานหรืออัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้นักลงทุนขายดัชนี

ดัชนีใดบ้างที่คุณสามารถทำการซื้อขายได้ในประเทศไทย?

ด้านล่างนี้คือรายชื่อ ดัชนีหุ้นหลักตามลำดับตัวอักษร รที่สามารถซื้อขายได้ในประเทศไทย สถานที่ซื้อขายส่วนใหญ่จะเป็นไปตามลักษณะชื่อย่อ โดยปกติ FTSE 100 จะแสดงเป็น “UK 100” และ Dow Jones Industrial Average เป็น “Wall Street”

ชื่อย่อ ชื่อเต็ม
Australia 200 S&P/ASX 200
China A50 FTSE China A50
EU Stocks 50 EURO STOXX 50
France 40 CAC 40
Germany 30 DAX 30
Hong Kong 50 Hang Seng China 50
Italy 40 FTSE MIB
Japan 225 Nikkei 225
Netherlands 25 AEX 25
Spain 35 IBEX 35
Switzerland 20 SMI 20
UK 100 FTSE 100 – known colloquially as ‘the Footsie’
US Small Cap 2000 Russell 2000
US SP 500 S&P 500
US Tech 100 NASDAQ 100
Wall Street Dow Jones Industrial Average (DJIA, Dow 30) – known colloquially as ‘the Dow’

กลยุทธ์การซื้อขายดัชนี

เมื่อเรียนรู้วิธีการลงทุนซื้อขายดัชนี สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาถึงกลยุทธ์การซื้อขายดัชนี เพื่อช่วยให้คุณทำการซื้อขายอย่างมีข้อมูล

1. ทำความรู้จักกับค่าสหสัมพันธ์

ดัชนีหุ้นมีความสัมพันธ์อย่างมากในแต่ละภาคส่วนอุตสาหกรรม เนื่องจากการให้น้ำหนักในแต่ละดัชนีนั้นมีความเฉพาะเจาะจงที่แตกต่างกันออกไป เช่น หากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นดัชนีที่มีน้ำหนักทางการเงินมากจะได้รับประโยชน์

ในกรณีของ NASDAQ ซึ่งเป็นดัชนีที่เน้นเทคโนโลยี การเคลื่อนไหวในหุ้นของกลุ่มหุ้น Big Tech เช่น Apple จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อดัชนี และ Apple ยังเป็นหนึ่งใน ETF ด้านเทคโนโลยีที่ดีที่สุดเพียงไม่กี่รายการที่อยู่ใน Dow ดังนั้นจึงมีผลกระทบเช่นกัน

ดังที่เราได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ในคู่มือการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของดัชนี ดังนั้นนี่จึงเป็นอีกปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กันที่ต้องคำนึงถึง บริษัท FTSE 100 หลายแห่งนั้นมีรายได้เป็นดอลลาร์ ดังนั้นการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับเงินบาทมักจะสะท้อนให้เห็นในการเพิ่มขึ้นของ FTSE 100

ในทำนองเดียวกันเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าสามารถเพิ่มผลตอบแทนของบริษัทในสหรัฐอเมริกาที่ทำธุรกิจจำนวนมากในต่างประเทศได้ เนื่องจากสินค้าและบริการของพวกเขาจะมีราคาที่สามารถแข่งขันได้ในสกุลเงินท้องถิ่น

2. เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจมีความสำคัญ

เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจสามารถเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการปรับตัวของดัชนี การรับรู้และเข้าใจข่าวสารเศรษฐกิจในประเทศที่มีดัชนีอ้างอิงเป็นสิ่งสำคัญ ข่าวเศรษฐกิจที่สำคัญเช่น ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐ, ข้อมูลดัชการซื้อขาย, การสำรวจความเชื่อมั่นของธุรกิจและผู้บริโภค, ข้อมูลการว่างงาน ฯลฯ ล้วนมีผลกระทบโดยตรงต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีและควรติดตามอย่างใกล้ชิดเนื่องผลกำไรหรือโอกาสในการซื้อขายเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความผันผวนในดัชนี

3. ตัดสินใจที่จะเป็นเทรดเดอร์รายวันหรือเทรดเดอร์ประจำตำแหน่ง

คุณควรตัดสินใจว่าคุณต้องการใช้แนวทางการซื้อขายแบบรายวันเป็นหลักหรือต้องการซื้อขายในตำแหน่งที่ต้องการและถือไว้เป็นเวลานานซึ่งบางครั้งอาจเป็นปี ตัวเลือกประเภทนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าจะใช้เครื่องมือประเภทใดในการนำกลยุทธ์ของคุณไปใช้

ผู้ค้าทั้งรายวันและตำแหน่งควรเรียนรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อให้เข้าใจถึงกราฟราคา สิ่งนี้อาจสำคัญมากโดยเฉพิย่างยิ่งสำหรับผู้ซื้อขายรายวันที่กำลังมองหาตำแหน่งการเข้าซื้อขายเป็นรายนาทีและรายชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นเทรดเดอร์รายวันหรือโพซิชั่นเทรดเดอร์ การเทรดด้วยเทรนด์ OS เป็นกฎที่มีประโยชน์ที่ควรคำนึงถึงและสามารถปรับให้เข้ากับกลยุทธ์โมเมนตัมที่ชี้ให้เห็นว่า หากหุ้นเพิ่มขึ้นก็มีแนวโน้มที่จะทำเช่นนั้นต่อไปและหากมันลดลงก็อาจจะลดลงต่อไป การรู้ว่าเมื่อใดที่แนวโน้มดังกล่าวกำลังจะย้อนกลับก็มีความสำคัญยิ่งเช่นกัน

4. วิธีการจัดการความเสี่ยง

คุณควรกำหนดตำแหน่งใน ” take profit “ และ ” stop-loss “ ในการซื้อขายทั้งหมดของคุณ สิ่งนี้จะช่วยให้คุณควบคุมความเสี่ยงได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำความคุ้นเคยกับการตั้งค่า stop-loss ตำแหน่งที่คุณกำหนดไว้จะขึ้นอยู่กับการประเมินตลาดและความเสี่ยงที่คุณสามารถรับได้ซึ่งอาจได้รับอิทธิพลจากจำนวนเงินทุนที่คุณต้องการลงทุนหรือเป้าหมายการลงทุนของคุณ

นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งสำคัญในการทำกำไร เราทุกคนอยู่ภายใต้ภาวะการตัดสินใจภายใตอคติเมื่อพูดถึงการซื้อขายเช่น ความโลภทำให้เกิดความหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้นจึงไม่ปิดเมื่อถึงค่าที่ควรจะปิดการซื้อขาย การทำเช่นนี้จะนำปัญหาใหญ่มาให้คุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ซื้อขายรายวันที่การเคลื่อนที่ของตำแหน่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว

แพลตฟอร์มการซื้อขายดัชนีที่ดีที่สุด

ตอนนี้เราจะแสดงให้คุณเห็นถึงวิธีการซื้อขายดัชนี คุณควรที่จะเลือกแพลตฟอร์มการซื้อขายดัชนีชั้นนำ

ด้านล่างนี้ เราได้เลือกแฟลตฟอร์มที่ความน่าสนใจมานำเสนอให้คุณได้พิจารณา

1. Libertex – เทรด CFD ด้วยสเปรด 0 และค่าคอมมิชชั่นต่ำ

Libertex

Libertex มีการเสนอดัชนีที่แข็งแกร่งให้เลือกจำนวนทั้งหมด 25 ตัว ทำให้การเทรดเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นด้วยการทดลองหาวิธีการที่เหมาะสมสำหรับคุณก่อน คุณสามารถเข้าถึงบัญชีทดลองได้อย่างง่ายดายเพียงแค่กรอกอีเมลล์และรหัสผ่านในหน้าแรก

ค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายจะแตกต่างกันไปในแต่ละดัชนี ตัวอย่างเช่น ใน S&P 500 ค่าคอมมิชชันมาตรฐานที่ไม่มีส่วนลดคือ 0.0148% Nasdaq (ดูภาพหน้าจอด้านล่าง) มีราคาแพงกว่าที่ 0.0219%

คุณสามารถซื้อขายโดยใช้เลเวอเรจได้ถึง 100x แต่อย่าลืมเปลี่ยนค่านี้ก่อนทำการซื้อขาย หากคุณไม่ได้อยากที่จะใช้เลเวอเรจหรือต้องการลดจำนวนเลเวอเรจที่จะใช้

เงินฝากขั้นต่ำของ Libertex เริ่มต้นที่ $ 10 ซึ่งเหมาะสำหรับนักลงทุนที่พึ่งเริ่มต้นที่ต้องมีการระมัดระวังในการลงทุน
ถึงแม้ว่าคุณจะไม่สามารถทำการซื้อขายดัชนี ได้ด้วยจำนวนเงินเพียงเล็กน้อยนั้น

แพลตฟอร์มนี้รองรับวิธีการชำระเงินที่หลากหลาย รวมถึงบัตรเดบิต / เครดิตและ e-wallets มีใบอนุญาตจาก CySEC (หน่วยงานกำกับดูแลไซปรัส ซึ่งไซปรัสเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป) ดังนั้นเงินของคุณจะปลอดภัยในกรณีที่ธุรกิจประสบปัญหาล้มเหลว
การซื้อขายดัชนี

ค่าธรรมเนียมของ Libertex:

ค่าคอมมิชชั่น ดูในตารางส่วนลดด้านล่าง
ค่าธรรมเนียมการฝาก ฟรี
ค่าธรรมเนียมการถอน 1 EUR สำหรับ credit/debit card, 1% สำหรับ Neteller, free for Skrill
ค่าธรรมเนียมในกรณีไม่มีการใช้งานบัญชี 10 EUR หลังจาก180 วัน

ส่วนลดค่าคอมมิชชั่นขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่คุณฝาก

ระดับ GOLD

เงินฝากรวม €250

ระดับ GOLD+

เงินฝากรวม €1450

ระดับ PLATINUM

เงินฝากรวม €1500

ระดับ VIP

เงินฝากรวม €5000

ส่วนลด – 3% ส่วนลด – 4% ส่วนลด – 20% ส่วนลด – 30%

ข้อดี:

  • ไม่มีสเปรด
  • ส่วนลดค่าคอมมิชชั่น
  • ตัวเลือกการซื้อขายในดัชนีที่หลากหลาย
  • ดัชนีจำนวน 25 ตัว ที่เปิดให้มีการซื้อขาย
  • มีบัญชีทดลองใช้งาน
  • มีแหล่งเนื้อหาเพื่อการศึกษา
  • เทรด CFD ด้วยสเปรด 0 และค่าคอมมิชชั่นต่ำ

ข้อด้อย:

  • บริการข่าวสารและการวิเคราะห์ที่จำกัด
  • ค่าคอมมิชชั่นที่เรียกเก็บสำหรับการซื้อขาย

70.8% ของบัญชีนักเทรดรายย่อยสูญเสียเงินเมื่อทำการเทรด CFDs กับทางแพลตฟอร์มนี้

2. AvaTrade

การซื้อขายดัชนีAvaTrade เป็นโบรกเกอร์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมในหกเขตอำนาจศาลที่แตกต่างกันทั่วโลก สิ่งนี้ให้ความปลอดภัยในระดับสูงของเงินทุนและความอุ่นใจเมื่อฝากหรือถอนเงิน ซึ่งสามารถทำได้โดยไม่มีค่าธรรมเนียมใด ๆ

การซื้อขายดัชนี

ด้วย AvaTrade คุณสามารถซื้อขายดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกได้อย่างเต็มรูปแบบรวมถึงตลาดอื่น ๆ อีก 1,250+ แห่งที่ครอบคลุมหุ้น, สินค้าโภคภัณฑ์, สกุลเงิน ETF และสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งสามารถทำได้จากประเภทบัญชีต่างๆเช่น CFD Trading, Options Trading, Spread Betting และ Swap Free Accounts

และคุณสามารถซื้อขายได้โดยไม่มีค่าคอมมิชชั่น 100% ที่ AvaTrade! ยังมีแพลตฟอร์มการซื้อขายที่หลากหลายเช่น แพลตฟอร์ม MetaTrader 4 และ MetaTrader 5  นอกจากนี้ยังมีแพลตฟอร์มเว็บไซต์ที่ใช้งานง่ายอีกด้วย

ข้อดี:

  • ควบคุมในหกเขตอำนาจศาลที่แตกต่างกัน
  • แพลตฟอร์มเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย
  • มีซื้อขายมากกว่า 1,250+ รายการตลาดทั่วโลก
  • ไม่มีค่าคอมมิชชั่น มีแค่ค่าสเปรดและค่าแลกเปลี่ยนเพียงเล็กน้อย
  • ค่าธรรมเนียมการฝากหรือถอนเป็นศูนย์

ข้อด้อย:

  • มีค่าธรรมเนียมกรณีที่ไม่มีการใช้งานบัญชี

71% ของนักลงทุนรายย่อยที่นี่สูญเสียเงินจากการซื้อขาย CFD

วิธีการซื้อขายดัชนี ในวันนี้

หวังว่าคุณจะปฏิบัติตามคำแนะนำในตอนต้นของคู่มือนี้และลงทะเบียนบัญชีกับ Libertex ต่อไปนี้เราจะอธิบายถึงวิธีการซื้อดัชนีบน Libertex

เพื่อสรุปคำแนะนำของเราเกี่ยวกับการซื้อขายดัชนีที่ดีที่สุดสำหรับปี 2024– เราจะแนะนำคุณตลอดในทุกขั้นตอนการลงทุนครั้งแรกของคุณ ขั้นตอนด้านล่างเป็นไปตาม Libertex ที่ให้คุณลงทุนโดยไม่เสียค่าธรรมเนียมใดๆ

ขั้นตอนที่ 1: เปิดบัญชีที่ Libertex เพื่อซื้อขายดัชนี

ขั้นตอนที่ 1: เปิดบัญชีที่ Libertex เพื่อซื้อขายดัชนี

 

คุณจะถูกขอให้ป้อนข้อมูลส่วนบุคคล รายละเอียดการติดต่อ และหมายเลขประกันของประเทศ คุณต้องสร้างชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านด้วย สุดท้าย ให้ยืนยันหมายเลขโทรศัพท์มือถือของคุณ

ขั้นตอนที่ 2: ดาวน์โหลดแอป Libertex (ไม่บังคับ)

การพิจารณาดาวน์โหลดแอปการลงทุน Libertex ก็คุ้มค่าเช่นกัน สิ่งนี้จะช่วยให้คุณซื้อและขายดัชนี ได้ด้วยการคลิกปุ่มผ่านโทรศัพท์ของคุณ สิ่งที่คุณต้องทำคือดาวน์โหลดแอปและเข้าสู่ระบบด้วยข้อมูลประจำตัว Libertex ของคุณ!

ขั้นตอนที่ 3: ฝากเงิน

แม้ว่า Libertex จะอนุญาตให้คุณซื้อขายดัชนี ในประเทศไทย ได้อย่างน้อย 10 ดอลลาร์ แต่คุณจะต้องฝากเงินอย่างน้อย 50 ดอลลาร์ คุณสามารถทำได้ทันทีด้วยบัตรเดบิต/เครดิตประจำวันของคุณ

นอกจากนี้ยังรองรับอี-วอลเล็ท ซึ่งรวมถึง Paypal, Skrill และ Neteller คุณสามารถโอนเงินจากบัญชีธนาคารในประเทศไทย ได้หากต้องการ แต่เตรียมใจไว้เลยว่าจะต้องรอเป็นเวลาหลายวันกว่าเงินจะมาถึง

ขั้นตอนที่ 4: ทำการซื้อขายดัชนีครั้งแรกของคุณ

สำหรับการซื้อขาย บัญชีของคุณพร้อมแล้ว และคุณสามารถเริ่มการซื้อขาย Libertex ของคุณได้ การซื้อขายทั้งหมดสามารถทำได้โดยตรงบนแอพมือถือ Libertex หรือแพลตฟอร์มออนไลน์บนเดสก์ท็อป

ซื้อขาย NASDAQ 100

ข้อดีอย่างหนึ่งของการใช้ Libertex คือมันง่ายและใช้งานได้ง่ายมากจริงๆ ทันทีที่คุณเปิดบัญชีและทำการฝากเงินเริ่มต้น 220 ยูโร แพลตฟอร์มก็พร้อมที่จะเริ่มทำงานให้กับคุณ มันจะเริ่มให้รายการของโอกาสที่คุณสามารถทำกำไรได้ ตัวอย่างเช่น NASDAQ, DOW JONES, SP500, DAX และอื่นๆ

คุณมีโอกาสที่จะใช้คุณลักษณะต่างๆ เช่น Copy Trading ที่ทำการคัดลอกการเทรดนักเทรดคนอื่น หรือใช้ฟีเจอร์ Social Trading เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองการเทรดได้

การซื้อขายดัชนีในไทย – บทสรุป

โดยสรุปแล้วมีการให้บริการการซื้อขายดัชนีจากแพลตฟอร์มการลงทุนที่กว้างขึ้นในไทย แต่สำหรับผู้ที่พึ่งเริ่มต้นเราคิดว่าคุณสมบัติและเครื่องมือการซื้อขายที่เข้าใจง่ายและเข้าถึงได้นั้นมีความสำคัญยิ่ง เราให้คะแนน Libertex สูงที่สุดสำหรับความสะดวกในการใช้งานแพลตฟอร์ม คำแนะนำในการควบคุมความเสี่ยง พร้อมอินเทอร์เฟซผู้ใช้ที่เข้าถึงได้ง่ายซึ่งทำให้การเปิดและแก้ไขคำสั่ง รวมไปถึงเปลี่ยนรายการที่สำคัญทั้งหมดเช่น stop-loss เป็นเรื่องง่าย

บอกเลยว่าแนะนำ Libertex จริงเป็นโบรกเกอร์ได้อย่างมาก ซึ่งคุณจะได้รับคำแนะนำว่าควรซื้อและขายดัชนีใด และเมื่อใดควรทำเช่นนั้น การลงทุนและการซื้อขายทั้งหมดของคุณเสร็จสิ้นโดยไม่มีค่าคอมมิชชั่นใดๆ และแพลตฟอร์มก็ไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมใดๆ เช่นกัน Libertex มีพันธมิตรที่ได้รับการควบคุม 15 แห่ง ซึ่งคุณจะเชื่อมต่อกับหนึ่งในนั้นโดยอัตโนมัติ แต่การซื้อทั้งหมดของคุณดำเนินการโดยตรงผ่านแพลตฟอร์ม Libertex

70.8% ของบัญชีนักเทรดรายย่อยสูญเสียเงินเมื่อทำการเทรด CFDs กับทางแพลตฟอร์มนี้

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการซื้อขายดัชนี

แพลตฟอร์มใดดีที่สุดสำหรับการซื้อขายดัชนีในประเทศไทย?

แพลตฟอร์มการซื้อขายดัชนีในประเทศไทยที่ไหนที่ดีที่สุดสำหรับมือใหม่หัดเทรด?

คุณใช้เงินจำนวนเท่าไหร่สำหรับการซื้อขายดัชนี ในประเทศไทย?

ประกิต ไชยสาร

ประกิต ไชยสาร

คุณประกิต ไชยสาร เป็นนักเขียน, นักวิเคราะห์ และนักลงทุนที่อยู่ในกรุงเทพฯ ประเทศไทย เขาเป็นนักวิเคราะห์ที่มีประสบการณ์ และเป็นเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปีในตลาดการเงิน เขามีความเชี่ยวชาญด้านการเดย์เทรดและการลงทุนระยะยาว